
Xiaomi 13T Series สมาร์ทโฟนที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มสเปคระดับท็อปของตลาด โดยทางเสียวหมี่ได้เปิดตัวออกมาพร้อมกันสองรุ่น นั้นคือ Xiaomi 13T Pro และ Xiaomi 13T เป็นเครื่องที่ให้สเปคมาระดับสูง มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลเกรดพรีเมี่ยม และใส่คุณสมบัติในระดับเรือธงมาอีกมากมายเลยครับ โดยเปิดตัวมาในราคารุ่นเริ่มต้นที่ 15,990 บาท
และแน่นอนว่าทั้งสองรุ่นมีความสามารถในการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมอย่างมากเป็นจุดขายอีกด้วย เพราะเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบกล้องซึ่งพัฒนามาร่วมกันกับแบรนด์ใหญ่อย่าง LEICA เช่นเดิมครับ
คุณสมบัติครบเครื่องรอบตัว ราคาน่าสนใจ ในรีวิวนี้เราจะพามารู้จักกับสมาร์ตโฟนทั้งสองรุ่นกันให้ละเอียดกันมากยิ่งขึ้นครับ
ตัวเครื่องภายนอก
Xiaomi 13T Pro และ Xiaomi 13T ใช้การออกแบบในสไตล์คลาสสิคฝาหลังโค้งเข้ามือ โดยจะมีการนำเข้ามาจำหน่ายให้เลือกใน 3 สี ที่ใช้วัสดุฝาหลังแตกต่างกัน โดยจะมีสี Alpine Blue ที่จะเป็นใช้ฝาหลังเป็นวัสดุหนัง Xiaomi BioComfort vegan ดูพรีเมี่ยมและนุ่มสบายมือ ให้ความรู้สึกเหมือนผิวของกล้องถ่ายภาพคลาสสิคที่หุ้มด้วยหนัง
และอีกสองสีคือ Meadow Green สีเขียวโทนมินต์ และ Black หรือสีดำมาตรฐาน โดยทั้งสองสีนี้จะใชฝาหลังแบบกระจกเงาครับ ซึ่งจะนำเข้ามาจำหน่ายในตัวเลือก 3 สีเหมือนๆ กันทั้งสองรุ่น
ตัวเครื่องมีขนาดความบาง 8.49 มม. เท่าๆ กัน แต่น้ำหนักแตกต่างกันเล็กน้อย 206 กรัมสำหรับ Xiaomi 13T Pro และ 197 กรัมสำหรับ Xiaomi 13T ถือว่าเป็นเครื่องที่ไม่ได้เน้นความเบาบางมากนัก แต่ตัวฝาหลังโค้งจึงถือจับได้ไม่ยาก
งานประกอบแน่นหนาครับ ปุ่มกดต่างๆ ดูทนทาน และผลิตมาในมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68 ด้วยครับ โดนฝนโดนฝุ่น ตกน้ำเครื่องไม่เสียหายง่ายๆ
ตัวเครื่องรองรับ 5G ได้ทั้งสองซิมการ์ด (รองรับการใช้งาน eSim ได้ด้วยเช่นกัน) แต่ไม่มีช่องใส่ microSD Card มาให้นะครับ
โดยตัว Xiaomi 13T Series จะใช้กล้องที่พัฒนามาร่วมกันกับ Leica ตั้งแต่การออกแบบระบบการถ่ายภาพ, การปรับแต่งสีสันของภาพ และการพัฒนาเลนส์ขึ้นมาเฉพาะให้ใช้งาน LEICA VARIO-SUMMICRON ความแตกต่างของสมาร์ตโฟนทั้งสองรุ่นในเรื่องของตัวโมดูลกล้องนั้นแทบจะไม่มีเลยครับ ทั้งสองรุ่นจะให้ความละเอียดของชุดกล้องหลังมาเท่าๆ กัน นั้นคือ
กล้องหลัก ระยะ 24mm ความละเอียด 50MP เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.28” f/1.9, พร้อมระบบกันสั่น OIS ทำงานร่วมกับเลนส์ Leica telephoto ระยะ 50mm ความละเอียด 50MP เป็นเหมือนกล้องหลักตัวที่สอง และสุดท้ายคือเลนส์ Leica ultra-wide ระยะมุมถ่าย 15mm ความละเอียด 12MP
แม้ตัวฮาร์ดแวร์กล้องนั้นแทบจะเหมือนกัน แต่ความสามารถในการถ่ายวีดีโอของสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นนี้จะทำได้แตกต่างกันเล็กน้อยนะครับ ด้วยเพราะประสิทธิภาพของชิปประมวลผลที่แตกต่างกัน โดยในรุ่น Xiaomi 13T Pro จะรองรับการถ่ายภาพวีดีโอได้ในความละเอียดสูงสุดถึง 8K 24fps และรองรับการถ่ายวีดีโอ 10-bit LOG video อีกด้วย ในขณะที่ตัว Xiaomi 13T จะถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30fps เท่านั้น และไม่สามารถ่ายวีดีโอแบบ 10-bit LOG video ได้ครับ
ด้านหน้าของ Xiaomi 13T Series มากับหน้าจอระดับพรีเมี่ยมเลยครับ เป็นหน้าจอ CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว
ความละเอียด 1.5K (2712 x 1220) มีรีเฟรชเรทระดับ 144Hz ปรับระดับได้ 5 ระดับ 30/60/90/120/144Hz เพื่อการถนอมพลังงานตามความเหมาะสมได้เองอัตโนมัติ รองรับการสแกนลายนิ้วมือได้บนหน้าจอโดยตรง และติดตั้งกล้องหน้าความละเอียด 20MP สามารถสแกนใบหน้าเข้าใช้งานได้ด้วยเช่นกัน
ความสว่างจอสูงมาก 2600nits มีระบบ Pro HDR Display ที่จะทำให้หน้าจอ CrystalRes มีความสว่างสูงสุดได้มากกว่าปกติถึงห้าเท่า เพื่อให้ได้ภาพ HDR ที่เป็นรายละเอียดครบได้มากที่สุดนั้นเองครับ ใช้งานนอกบ้านสู้แสงได้สบายๆ
จอสีสันสดใสครับ จอรองรับการแสดงสีสันได้ถึง 68 พันล้านสี รองรับระบบภาพ Dolby Vision และ HDR10+ แบบ end-to-end มุมมองดี ครบคลุมการแสดงสีสัน DCI-P3 100% ทำให้สามารถนำมาใช้งานได้อย่างดีทั้งความบันเทิง และสำหรับสายทำงานอย่างงานแต่งภาพหรืองานตัดวีดีโอได้เลยครับ
ในด้านเสียงให้มาเป็นลำโพงคู่เสียงดังชัดครับ รองรับระบบเสียง Dolby Atmos ฉะนั้นในด้านความบันเทิงยอดเยี่ยมครับ ทั้งด้านภาพและเสียง
Xiaomi 13T Series ให้แบตเตอรี่ภายในมาขนาดใหญ่ 5000mAh เท่ากัน แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของระบบชาร์จไวที่ให้มาแตกต่างกันครับ โดยตัว Xiaomi 13T Pro จัดเต็มมาเลย กับเทคโนโลยี HyperCharge 120W ชาร์จได้รวดเร็วมากครับ ในโหมดชาร์จเต็มกำลังสามารถชาร์จแบตขนาด 5000mAh ให้เต็มได้ในเวลาแค่ 19 นาทีเท่านั้นเองครับ ไวมากๆ และภายในยังติดตั้งชิปเซ็ต Xiaomi Surge G1 ที่เป็นเทคโนโลยีรวมศูนย์ เป็นตัวกลางในการควบคุมและดูแลตัวแบตเตอรี่ ให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่ดีแม้จะใช้งานเป็นเวลายาวนาน
ส่วนตัว Xiaomi 13T จะรองรับระบบ Turbo Charging 67W ระบบชาร์จไวที่ว่องไวอย่างมากเช่นเดียวกัน แม้จะไม่สุดขีดเหมือนตัว Pro แต่ยังสามารถชาร์จแบตให้เต็ม 100% ได้ในเวลาแค่ 42 นาทีเท่านั้นเองครับ แค่นี้ก็ไวมากจนแทบไม่ต้องรอกันแล้ว
มีระบบดูแลสุขภาพแบตเตอรี่เพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานไม่เสื่อมสภาพไปซะก่อนครับด้วยการควบคุมระดับไฟเข้าไปยังเซลเก็บประจุ
Xiaomi 13T Series ตัวเครื่องจะไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. เชื่อมต่อหูฟังผ่านพอร์ต Type-C หรือสัญญาณ Bluetooth ( รองรับ Bluetooth 5.4, NFC ) และมี IR อินฟราเรดอยู่ด้านบนเครื่องเช่นเดิม
Xiaomi 13T Pro จะรองรับเทคโนโลยี WiFi 7 ซึ่งจะเป็นมาตรฐานที่จะใช้งานได้นานต่อไปในอนาคต ส่วน Xiaomi 13T จะรองรับ WiFi 6 ซึ่งก็แรงเพียงพอเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันได้เพียงพอแล้วเช่นกันครับ
และตัวระบบยังรองรับความสามารถในการเชื่อมต่อ WiFi แบบย่านความถี่คู่ เชื่อมต่อ WiFi ทั้ง 2.5 และ 5.0Ghz ได้พร้อมกัน และยังใช้สัญญาณมือถือเข้ามาเสริมเพิ่มความเสถียรให้กับการเชื่อมต่อได้ด้วย สัญญาณเน็ตจึงแน่นมากๆ ครับ เหมาะสมกับการสตรีมภาพยนตร์หรือสตรีมเกมได้เต็มที่เลย
การใช้งานภายใน
Xiaomi 13T Series มากับสเปคเครื่องที่สูงอยู่ในกลุ่มเรือธงทั้งสองตัวครับ แต่จะให้มาแตกต่างกันครับ
Xiaomi 13T Pro สเปคสูง ใช้ชิปเซ็ตตัวเรือธงจากค่าย MediaTek เป็น Dimensity 9200+ ชิปเซ็ตเทคโนโลยีการผลิตระดับ 4nm ,GPU G715 และใช้แรมเป็นเทคโนโลยี LPDDR5X ขนาดตัวเลือก 12GB, 16GB ขยายเพิ่มด้วยหน่วยความจำภายในwfhอีก 6GB หน่วยความจำภายในให้มาเป็น UFS 4.0 ในตัวเลือก 512GB และ 1TB
ส่วน Xiaomi 13T จะใช้ MediaTek Dimensity 8200-Ultra ที่แม้จะเป็นรุ่นรองท็อป แต่ก็ผลิตมาในเทคโนโลยีระดับ 4nm เช่นกัน GPU G610 ใช้แรม LPDDR5 ขนาด 12GB และหน่วยความจำชนิด UFS 3.1 ขนาด 256GB ถือว่าสเปคก็สูงพอตัวครับ
ทั้งคู่รันด้วยระบบ Android 13 ครอบทับด้วย MIUI 14 เวอร์ชั่นใหม่พร้อมใช้งาน ระบบมีความลื่นไหลดีแล้วครับ ด้วยสเปคเครื่องที่แรง ด้านการใช้งานต่างๆ หายห่วงครับ
จากที่ทดสอบใช้งาน ทั้ง Xiaomi 13T Pro และ Xiaomi 13T อยู่กับเราได้เต็มวันนะครับ จัดสรรพลังงานได้ดี และจากที่สังเกตคือการควบคุมความร้อนในขณะใช้งาน ไม่เจอความร้อนให้ต้องกังวลเลย แม้แต่ตัว Xiaomi 13T Pro เอง ที่มีชุดประมวลผลที่ค่อนข้างแรงมาก แต่ภายในก็ใส่แผ่นระบายความร้อนที่ผลิตจากสแตนเลสขนาดใหญ่พิเศษ soaking plate VC ขนาด 5,000 มม. เอาไว้ด้วยเช่นกัน การทำงานต่างๆ แม้จะเปิดเครื่องต่อเนื่องกันก็ไม่เกิดความร้อนจนมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นครับ
แต่การทำงานที่จะให้เรารู้สึกถึงความร้อนตัวได้ชัดเจนที่สุดจะเป็นเรื่องของการเปิดหน้ากล้องถ่ายภาพไว้เป็นเวลานานๆ ครับ ชุดประมวลผลจะทำงานหนักมาเพื่อคอยประมวลผลตรวจจับภาพที่กำลังจะถ่าย ยิ่งเราถ่ายภาพต่อเนื่องติดๆ กันในอากาศร้อนๆ ตัวเครื่องจะมีอุณหภูมิอุ่นขึ้นจนรู้สึกได้ชัดครับ แต่ก็ยังไม่เจออาการผิดปกติอะไรจากความร้อนที่สูงมากขึ้นในขณะถ่ายภาพนะครับ
การทำงานด้านความบันเทิงจะรู้สึกฟินมาก หน้าจอสีสวย แสงสว่างดีครับ ใช้งานได้ทั้งในบ้านและนอกบ้านภาพก็ยังเห็นได้ชัดเจน ลำโพงสเตอริโอคู่เสียงดีไม่ต้องต่อลำโพงภายนอกเพิ่มเติม
ระบบเสียงรองรับ Dolby Atmos ดูหนัง Netflix ก็ดูได้แบบ Dolby Vision เพราะหน้าจอรองรับครับ
ภายในตัวระบบของ MIUI 14 จะอนุญาตให้เราเลือกระดับประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องได้ อยากจะเปิดโหมดประหยัดพลังงานเพื่อใช้ในวันเบาๆ ที่อยากจะให้แบตเตอรี่อยู่กับเราไปได้นานกว่าปกติ หรือจะเปิดโหมดประสิทธิภาพที่อาจจะเปลืองพลังงานมากขึ้นกันสักหน่อยเพื่อจะได้ใช้งานกันได้เต็มที่ตลอดเวลาก็ได้เช่นกัน
แต่อย่าลืมว่า ตัว Xiaomi 13T Series มีระบบชาร์จที่ไวมากๆ ทั้งสองรุ่น ถ้ามีที่ชาร์จแบตติดตัวเอาไว้แวะชาร์จระหว่างวันแค่ไม่กี่นาที รับรองว่าเปิดโหมดประสิทธิภาพสูงใช้กันได้เต็มที่ตลอดทั้งวันแน่นอนครับ
หน้าจอแสดงผลนอกจากจะมีความสว่างสูงที่สู้แดดได้แล้ว ก็มีโหมดถนอมสายตาสำหรับการใช้งานในที่ร่ม แสงกลางคืน หรือเอาไว้สำหรับอ่านหนังสือในระยะยาวนาน เพราะโหมดถนอมสายตานอกจาจะลดแสงสีฟ้าแล้ว ยังสามารถปรับสีสันของภาพให้มีลักษณะเหมือนภาพจากหน้ากระดาษได้ด้วยครับ ตั้งเวลาให้ทำงานได้เองอัตโนมัติเมื่อถึงเวลาหรือเปิดแอปที่เราตั้งค่าไว้ล่วงหน้า
ประสิทธิภาพสูงมากพอจะเล่นเกมทุกเกมใน Play Store ได้ไหลลื่นครับ มีระบบ Game Turbo คอยช่วยให้การเล่นเกมของเราไม่มีอะไรมากวนใจ ปรับการแจ้งเตือนต่างๆ มีคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการเล่นเกมมารวมไว้ให้ในที่เดียว และสามารถตั้งค่าประสิทธิภาพเครื่องได้ทันทีแค่สไลด์หน้าจอจากด้านข้างเครื่องเข้ามาเท่านั้น
การดูแลด้านความปลอดภัย มีแอปสำหรับการสแกนไฟล์ขยะและไวรัสให้เราในคลิ๊กเดียว สามารถล็อคแอป หรือแยกพื้นที่ใช้งานให้กลายเป็นเหมือนสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งเครื่องเพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้นได้ด้วยครับ
กล้องถ่ายภาพ
Xiaomi 13T Series มาพร้อมกับกล้องและระบบเลนส์ที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะ กล้องหลัก 24mm ใช้เลนส์ Aspherical 7 ชั้นเลนส์ ความละเอียด 50MP มากับเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.28” รูรับแสง f/1.9 ติดตั้งระบบกันสั่น OIS ที่ทำงานร่วมกันกับ EIS เลนส์ที่สองเป็น Leica telephoto 50mm ความละเอียด 50MP และสุดท้ายคือ Leica ultra-wide มุมกว้าง 15mm ความละเอียด 12MP
ความโดดเด่นของ Xiaomi 13T Series คือการถูกปรับแต่งโทนภาพจาก Leica แบบดังเดิมที่ใส่เข้ามาให้เลือกใช้งานไปพร้อมกันได้ทั้งสองแนวภาพ Leica Authentic Look ที่มีความเข้มข้นเป็นธรรมชาติแบบสมจริง และ Leica Vibrant Look ที่จะให้สีสันสดใสในสไตล์ภาพที่สว่างกว่า ทั้งสองโหมดจะช่วยปรับแต่งพื้นฐานของโทนภาพ ก่อนจะมีปรับเปลี่ยนแบบละเอียดอีกครั้งจากสภาพแสงแวดล้อมได้อัตโนมัติด้วย AI ครับ
รองรับการถ่ายภาพตั้งแต่ 0.6x ไปจนถึงซูม 2x ไม่เสียรายละเอียด และซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุดที่ 20x มาพร้อมฟิลเตอร์ Leica อีกมากมายครับ Sepia และ Leica Blue ที่ถูกเพิ่มมาใหม่ล่าสุดก็จะมีมาให้ใช้ในรุ่นนี้ เป็นฟิลเตอร์ที่เอาเอกลักษณ์มาจากโหมดฟิล์ม Leica M-Typ 240 ในอดีต ทำให้ Xiaomi 13T Series มีฟิลเตอร์จาก Leica มาให้ใช้ทั้งหมดมากถึงหกแบบ และฟิลเตอร์อื่นๆ รวมเป็นสิบๆ แบบเลยทีเดียว
ด้วยความหลากหลายของระยะเลนส์และโทนสีที่ปรับแต่งมาให้เฉพาะ ทำให้มีการใส่สไตล์ภาพและระยะที่ถอดมาจากเลนส์ในตำนานของ Leica อีกหลายตัวครับ โดยเฉพาะในโหมดถ่ายภาพบุคคล ที่นอกจากจะมีฟิลเตอร์จาก Leica มาให้แล้ว ก็ยังมีความสามารถในการปรับแต่งใบหน้าเนียนใส ปรับระยะชัดลึกชัดตื้นได้ f1 ถึง f16
และยังใส่ระบบเลนส์หลักให้เราเลือกใช้งานได้อีก 4 ระยะ นั้นคือ ระยะพอร์ตเทรตปกติ 50mm และระยะมาตรฐาน 35mm รวมถึงเอกลักษณ์โบเก้หมุนวนจากเลนส์ 50mm และสุดท้ายคือเลนส์ที่ทำภาพแบบซอฟท์โฟกัสตามกลิ่นอายของเลนส์คลาสสิคจาก Leica 90mm. ทั้งหมดถูกใส่เข้ามาให้ใช้งานกันได้ในสมาร์ทโฟนซีรี่ส์นี้แล้วทั้งหมดครับ
ยังมีตัวเลือกลายน้ำ Leica ใหม่มาให้ 4 ตัวเลือก ซึ่งถูกออกแบบมาให้เราสามารถเลือกใช้ได้ง่ายๆ ทันทีโดยไม่ต้องเข้าหน้าการตั้งค่าที่ลึกจนวุ่นวาย แค่สไลด์หน้าการถ่ายภาพลงเพื่อเปลี่ยนเป็นรูปแบบลายน้ำที่เราต้องการเพียงเท่านั้นครับ
ใครชอบลายน้ำสวยๆ จาก Leica รุ่นนี้ทำมาให้เลือกสลับสับเปลี่ยนใช้งานได้ง่ายๆ ถูกใจแน่นอน ^^
ภาพที่ถ่ายออกมาสวยงาม มีเอกลักษณ์ และปรับแต่งโทนภาพได้มากมายโดยเฉพาะโทนภาพที่ดูคลาสสิค มีความเข้มข้นของเม็ดสีดำที่โดดเด่นตามเอกลักษณ์ของ Leica ภาพขาวดำก็ทำได้ดี และแต่ละฟิลเตอร์ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี สร้างเอกลักษณ์ออกมาของภาพตามสไตล์ได้ชัดเจนด้วยเช่นกัน
การถ่ายภาพทำได้ง่าย โฟกัสภาพได้ไว มีเทคโนโลยี Xiaomi ProFocus ช่วยจับภาพได้แม่นยำ ตัดฉากหลังได้ฉลาดครับ ภาพออกมาดูดีมีราคามากทีเดียว
การถ่ายวีดีโอเองก็สามารถถ่ายวีดีโอได้นิ่งด้วยโหมดกันสั่น และสามารถถ่ายวีดีโอแบบโบเก้ละลายหลังที่จะปรับแต่งใบหน้าให้เราได้แบบเรียลไทม์ด้วยครับ