Close Menu
  • Home
  • Android
    • News
    • Tips
  • Apple
    • iPad
      • News
      • Tips
    • iPhone
      • News
      • Tips
  • WINDOWS
    • News
    • Tips
  • Gaming
    • Game Review
    • PlayStation
    • Nintendo
    • Xbox & PC
    • Mobile
  • Gadget Reviews
    • Accessories
    • Devices
  • Wearable
  • EV Car
  • Miscellaneous
    • News
    • Tips
  • Tips and Tricks
  • Video
  • Cooky Policies
  • ติดต่อโฆษณา
แอพดิสคัสแอพดิสคัส
  • Home
  • Android
    • Tips & Tricks
  • Apple
    • Tips & Tricks
  • Windows
    • Tips & Tricks
  • Gaming
    • Game Review
    • In Spotlight
    • PlayStation
    • Xbox & PC
    • Nintendo
    • Mobile Games
  • Reviews
    • Mobiles & Tablets
    • Game Review
    • Accessories
  • EV Car
  • Miscellaneous
แอพดิสคัสแอพดิสคัส
คุณกำลังอ่าน :Home » Your Updates » เทียบกันชัดๆ Huawei Mate 9 และ Xiaomi Mi 5s Plus เรือธงที่ราคาห่างกันเกินครึ่ง เลือกรุ่นไหนดี ?
Your Updates

เทียบกันชัดๆ Huawei Mate 9 และ Xiaomi Mi 5s Plus เรือธงที่ราคาห่างกันเกินครึ่ง เลือกรุ่นไหนดี ?

22 ธันวาคม 2016Updated:22 ธันวาคม 20167 Mins Read

เชื่อว่าตอนนี้คงมีหลายๆท่านกำลังเล็งมือถือทั้ง 2 รุ่นที่เรากำลังจะไปพูดถึงกันในวันนี้อยู่แน่ๆเลยครับ เพราะด้วยความที่ว่าตัวหนึ่งก็มีดีเรื่องกล้อง ส่วนอีกตัวหนึ่งก็มีราคาที่ถูกจนเหลือเชื่อ งานนี้จึงไม่แปลกใจเลยที่ Huawei Mate 9 และ Xiaomi Mi 5s Plus จะได้รับความสนใจจากผู้ใช้ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งการจะตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องใดเครื่องหนึ่งมาไว้ใช้งาน แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ ดังนั้นวันนี้เราจึงได้นำข้อมูลดีๆมาฝากเพื่อนๆกัน เผื่อว่าจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของทุกท่านได้ครับ

ด้วยราคาครึ่งเดียว จะเทียบกันได้หรือไม่ ?

อย่างที่ทราบกันเลยครับว่าระหว่าง Huawei Mate 9 และ Xiaomi Mi 5s Plus นั้นมีราคาที่ห่างกันถึง 1 เท่าตัว โดย Mate 9 นั้นเปิดตัวมาที่ราคาประมาณ 26,140 บาท ส่วน Mi 5s Plus นั้นเปิดตัวมาที่ราวๆ 13,070 บาทเท่านั้น หากวัดกันจากเรื่องของราคาแล้วเชื่อว่าหลายๆท่านคงจะตัดสินใจเลือกกันได้ไม่ยากเพราะสเปคของอุปกรณ์ทั้ง 2 รุ่นนี้ก็เรียกได้ว่า “พอๆกันเลย” 

แต่เพื่อไม่ให้หลายๆคนต้องพลาดบางสิ่งอย่างไปจากการเลือกเรือธงที่คุ้มค่ากับเงินมากกว่า เราก็จะไปลงลึกกันในรายละเอียดกันว่าท่านจะได้หรือจะเสียอะไรไปบ้างในการตัดสินใจครั้งนี้

Huawei Mate 9 ปะทะ Xiaomi Mi 5s Plus

สำหรับ Huawei นั้นได้ประกาศเอาไว้แบบนี้เลยครับว่า “Mate 9 เป็นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลก” (ในตอนนี้) ซึ่งจะพูดแบบนั้นก็คงจะไม่ผิดหรอกครับ เพราะเจ้า Mate 9 นั้นมาพร้อมกับคุณภาพแบบคับแก้วจริงๆ แต่ด้วยราคาที่ถูกกว่าครึ่งอย่างเจ้า Mi 5s Plus ก็อาจจะทำให้หลายคนเริ่มไขว้เขวได้ไม่น้อยแน่ๆ ยิ่งมันมากับชิพเซ็ท Android ที่ดีที่สุดในปี 2016 ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้มันดูน่าสนใจกว่าชิพเซ็ทใน Mate 9 ที่ทาง Huawei ผลิตเอง แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับว่า Mi 5s Plus ไม่ได้มาพร้อมกับกล้องหลังคุณภาพที่ได้รับการการันตีโดยชื่อของ “Leica” ซึ่งในที่นี้เราก็ไม่ได้หมายความว่ากล้องหลัง Dual-camera ใน Mi 5s Plus ไม่ดีแต่อย่างใด

Advertisement
Advertisement
Advertisement

นอกจากเรื่องราวข้างต้นแล้ว Mate 9 ยังมีข้อดีในเรื่องของหน้าจอที่ให้มาใหญ่กว่า (0.2 นิ้ว) แต่ทั้งนี้มันก็ไม่ได้มีความคมชัดเหนือไปกว่า Mi 5s Plus นะครับ เพราะทั้งคู่มีความละเอียดอยู่ที่ 1080p และด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่าจึงไม่แปลกนักที่มันจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุมากกว่านิดหน่อยเพื่อรองรับการสูบพลังงานอันหนักหน่วงของหน้าจอ

และทั้งนี้ถึงแม้ว่า Mi 5s Plus จะมีแบตเตอรี่ความจุน้อยกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่ามันมีความอึดน้อยกว่า Mate 9 เช่นกัน เกริ่นไว้ก่อนตรงนี้เลยว่าผลทดสอบแบตเตอรี่ของ Mi 5s Plus ดูดีกว่า Mate 9 พอสมควรเลยด้วย

ไปดูกันที่บรรจุภัณฑ์ก่อน

ในกล่องของอุปกรณ์ทั้ง 2 รุ่นนี้ นอกจากตัวเครื่องสมาร์ทโฟนที่น่าหลงไหลแล้ว แน่นอนว่าจะมีการแถม Accessories และอุปกรณ์อื่นๆมาให้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นหัวชาร์จและสายที่รองรับการชาร์จเร็ว บวกกับเคส Bumper ซึ่งในจุดนี้คล้ายๆว่า Huawei จะทำคะแนนแซงหน้าไปนิดหน่อยตรงที่มีอแดปเตอร์แปลง microUSB เป็น USB-C รวมทั้งหูฟังแถมมาให้ด้วย ส่วนทาง Mi 5s Plus จะไม่มีแม้กระทั่งหูฟังมาให้ในกล่องนะครับ

ซึ่งอย่างไรก็ตามอยากบอกว่าเรื่องเคส Bumper ที่แถมมาให้ในอุปกรณ์ทั้ง 2 รุ่น อย่าไปซีเรียสเลยครับ โดยเฉพาะถ้าใครต้องการสัมผัสความรู้สึกแบบพรีเมียม ตัวบอดี้โลหะเพียวๆย่อมให้ความรู้สึกที่ดีกว่าอยู่แล้ว แต่การที่สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นมีแถมมาให้ในกล่องก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะอย่างน้อยๆคนที่ซื้อไปก็จะมีเคสไว้ใส่ป้องกันแล้วอันนึง ซึ่งเชื่อว่าคงไม่พ้นต้องซื้อมาเพิ่มอีกเป็นแน่แท้

Xiaomi Mi 5s Plus

ณ จุดนี้ การเลือกซื้อ Mi 5s Plus ก็ดูจะโอเคกว่านะครับ เพราะด้วยราคาที่ถูกกว่าครึ่ง เราก็สามารถไปหาซื้อตัวอแดปเตอร์ USB-C หรือหูฟังดีๆอย่าง Xiaomi Pistion มาไว้ใช้งานไปพร้อมกับตัวเครื่องได้สบายๆ

เรื่องของการออกแบบ

ในส่วนของการดีไซน์นั้นทาง Huawei ค่อนข้างจะภูมิใจมากทีเดียวครับกับการย่อขอบจอให้บางลงในรุ่น Mate 9 ซึ่งถ้าดูกันจริงๆแล้วมันก็มีขนาดพอๆกับ Mi 5s Plus จะแตกต่างกันที่หน้าจอของ Mate 9 ใหญ่กว่าอยู่ 0.2 นิ้วเท่านั้น อันที่จริงเราก็รู้สึกชอบในส่วนความโค้งมนบริเวณที่หนาที่สุดของ Mate 9 ด้วยนะ คือจับไปแล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

Huawei Mate 9

และตามที่ทาง Huawei เคยนำเสนอไว้คือตัวกรอบโลหะของ Mate 9 นั้นมีขั้นตอนในการผลิตถึง 50 ขั้นตอน กินเวลาหลายชั่วโมงในการผลิตเพื่อที่จะมอบความรู้สึกสุดแสนพรีเมียมให้กับผู้ใช้ แต่ทว่าเท่าที่เราสัมผัสดูมันกลับให้ความรู้สึกที่เรียบเกินไปครับ แน่นอนว่าบางคนอาจจะรู้สึกชอบในจุดนี้ แต่เรากลับรู้สึกว่าเรียบๆแบบนี้อาจไม่เป็นผลดีเท่าไรนัก เพราะด้วยน้ำหนักตัวเครื่องรวม 2 ขีดก็ถือว่าเพียงพอแล้วล่ะครับที่มันจะทำให้เกิดอาการลื่นหลุดมือเราไปได้ง่ายๆ

Xiaomi Mi 5s Plus

ส่วนทางด้าน Xiaomi กลับมีไอเดียที่แตกต่างออกไปในเรื่องการออกแบบ โดยจะเห็นว่า Mi 5s Plus มีตัวเครื่องที่แบนทั้งด้านหน้าด้านหลัง แตกต่างจากกระจกขอบโค้ง 2.5D ใน Mate 9 ซึ่งตัวกรอบโลหะของ Mi 5s Plus จะให้ความรู้สึกดีกว่า Mate 9 ตรงผิวสัมผัสที่คล้ายๆโลหะที่ถูกขัดสีดฉวีวรรณมาอย่างดี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราสามารถจับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ได้แน่นขึ้นแต่อย่างใด

ใน Mi 5s Plus มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกใจเราเท่าไรเลยคือ เส้นเสาสัญญาณ Antenna ด้านหลังค่อนข้างจะเห็นได้ชัด ถึงจะไม่ได้ชัดจนเตะตา แต่ยังไงก็สามารถมองเห็นได้

Huawei Mate 9
Xiaomi Mi 5s Plus

นอกจากนี้สำหรับใครที่ชอบให้กล้องหลังไม่นูนออกมา งานนี้ทาง Xiaomi ทำได้ดีกว่าครับ เพราะทาง Mate 9 ตัวกล้องจะนูนออกมาเล็กน้อย ซึ่งก็น่าจะพอให้อภัยได้หากผู้ใช้เป็นหนึ่งในสาวกของ Leica (555+)

สุดท้ายนี้ในเรื่องของลำโพง ทาง Mate 9 จะมีลำโพง 2 ตัว ซึ่งดูไปดูมาคล้ายๆว่าทาง Huawei จะแอบลักไก่เบาๆ เพราะนับเอาลำโพงที่ใช้ฟังเวลาคุยโทรศัพท์มาเป็นลำโพงตัวที่สอง ซึ่งเสียงที่ออกมามันไม่ได้เทียบเท่ากับลำโพงจริงๆที่อยู่บริเวณด้านล่างตัวเครื่องนะครับ

Mate 9
Mate 9
Mi 5s Plus
Mi 5s Plus

นอกจากนี้เจ้า Mate 9 และ Mi 5s Plus จะมาพร้อมกับ IR Blaster บริเวณด้านบนและรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งทาง Mate 9 จะเป็นถาดแบบ Hybrid ครับ หมายความว่าจะเลือกใช้งาน 2 ซิมพร้อมกันหรือใช้ซิมเดียวคู่กับ microSD ก็ได้ ส่วน Mi 5s Plus นั้นไม่สามารถเพิ่มความจุจาก microSD ได้เลย

เรื่องของดีไซน์ต้องยอมรับว่าแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน ดังนั้นเรื่องนี้จึงอยากให้ทุกท่านตัดสินใจกันเอง ส่วนเรื่องการขยายความจุภายในด้วย microSD การ์ด แน่นอนว่าถ้าเพิ่มได้ก็น่าจะดีกว่า แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าตนเองจำเป็นต้องใช้พื้นที่มากมายขนาดนั้นหรือไม่ ?

หน้าจอที่คมชัด

ตรงจุดนี้ทั้ง 2 บริษัทเลือกที่จะใช้หน้าจอ IPS LCD ครับ ถึงแม้ว่าทั้ง 2 บริษัทจะเรียกรวมๆว่า AMOLED ซึ่งตรงจุดนี้เราไม่มีอะไรให้ตำหนิเลย ทำมาดีทั้งคู่ครับ

โดยหน้าจอของทั้งคู่มีความสว่างของหน้าจอที่สูงมาก (ประมาณ 650 นิต) พร้อมกับมี Contrast ratio ที่น่าอัศจรรย์อีกด้วย (ประมาณ 1500:1) นอกจากนี้ทั้งคู่ยังสามารถปรับแสงได้ต่ำมากๆเหมาะที่จะใช้ในเวลากลางคืน (แสงจะได้ไม่แยงตาจนเกินไปเนาะ)

หากให้เราเปรียบเทียบหน้าจอของ Mate 9 และ Mi 5s Plus จริงๆ บอกเลยครับยาก!! เพราะ Mate 9 เองก็สามารถใช้งานกลางแดดจ้าได้ดีเสียเหลือเกิน ซึ่งน่าจะเป็นผลพวงมาจากค่า Contrast ที่สูง ส่วน Mi 5s Plus ก็มาพร้อมกับความแม่นเว่อร์ของสี โดยผลทดสอบอยู่ที่ deltaE 3.3 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วน Mate 9 ก็สามารถทำได้พอๆกันอยู่นะครับ แต่ต้องเปิดโหมด Warm (โทนสีอบอุ่น) แต่มันก็ยังสู้ Mi 5s Plus ไม่ได้อยู่ดีครับ

ต้องเลือก ? จริงๆแล้วการให้สีที่แม่นยำนับเป็นเรื่องสำคัญมากๆเรื่องหนึ่ง แต่หน้าจอที่สู้แสงแดดได้ดีก็ดูจะมีภาษีมากกว่านิดหน่อย เพราะแน่นอนว่าผู้ใช้ทุกระดับล้วนแล้วแต่ชอบให้หน้าจอสามารถใช้งานกลางแดดจ้าได้ จริงไหมล่ะครับ ?

ความอึดและถึกของแบตเตอรี่

ตามที่เรียนไว้ข้างต้นเลยครับว่า Mate 9 มาพร้อมแบตเตอรี่ที่มากกว่า Mi 5s Plus อยู่นิดหน่อย โดย Mate 9 จะมีแบตฯอยู่ 4,000mAh ส่วน Mi 5s Plus นั้นจะมีแบตฯอยู่ที่ 3,800mAh หากประเมินจากตัวเลขแล้วแน่นอนว่า Mate 9 จะได้เปรียบกว่าเจ้า Mi 5s Plus แต่ถ้าวัดกันเรื่องการใช้งานจริงๆผลลัพธ์ที่ได้อาจเปลี่ยนไปครับ

โดยในการทดสอบนั้นพบว่า Mi 5s Plus สามารถเอาชนะ Mate 9 ไปได้ในเรื่องความอึดของแบตเตอรี่ ด้วยการทดสอบโทรโดยใช้ 3G, การท่องเว็บไซต์และการดูวิดีโอ จะเห็นได้ว่า 2 การทดสอบแรกทั้ง 2 อุปกรณ์ทำเวลาได้ค่อนข้างสูสีกันเลยทีเดียว แต่ในส่วนของการดูวิดีโอ Mi 5s Plus สามารถเอาชนะไปได้แบบขาดลอย ใช้งานได้นานกว่าเกือบ 4 ชม.เลยล่ะครับ

พูดง่ายๆว่าถึงแม้ Mate 9 จะมาพร้อม Android 7.0 ที่มีฟีเจอร์อย่าง Doze เข้ามาช่วยจัดการการใช้พลังงานก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ Mate 9 เอาชนะ Mi 5s Plus ไปได้เลยครับในส่วนของแบตเตอรี่

ทั้งนี้ในเรื่องการชาร์จแบตฯ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนของ Xiaomi ที่มาพร้อม Quick Charge 3.0 หรือ Huawei ที่มี SuperCharge ก็สามารถชาร์จได้เร็วพอๆกัน แต่ Mi 5s Plus อาจทำได้เร็วกว่าอยู่บ้าง เพราะการจ่ายไฟอยู่ที่ 24W ส่วน Mate 9 อยู่ที่ 22.5W ครับ

ในเรื่องของแบตเตอรี่รอบนี้ยกให้ทาง Mi 5s Plus ไปเลย ถึงแบตฯจะมีความจุน้อยกว่า รวมทั้งไม่มี Doze ฟีเจอร์ของ Android 7.0 มันก็ยังสามารถแสดงศักยภาพการจัดการพลังงานได้เหนือกว่า Mate 9 อย่างเห็นได้ชัด

ซอฟท์แวร์รุ่นใหม่

ในส่วนของซอฟท์แวร์ทาง Huawei จะได้เปรียบกว่าแน่ๆครับ จากการเปิดตัว Mate 9 ออกมาพร้อมกับ Android 7.0 Nougat เลย ในขณะที่ Xiaomi ยังไม่ได้มอบขนมตังเมมาให้กับ Mi 5s Plus ตั้งแต่ในกล่อง ในเรื่องของการทำงานใครจะดีกว่ายังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆผู้ใช้ต้องพึงพอใจกับการได้รับซอฟท์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุดมาไว้ในมืออย่างแน่นอน

คราวนี้เราไปดูเรื่องของการใช้งานด้วยเลยดีกว่าครับ โดยเราจะไปดูในส่วนของ Mate 9 ก่อน จะเห็นได้ว่าหน้า Home ของอุปกรณ์จะเป็นแบบ “Magazine” ซึ่งอธิบายง่ายๆก็เหมือนกับของ iOS นั่นเองครับ เพราะไม่มีปุ่ม App Drawer มาให้ แต่ทั้งนี้ผู้ใช้ก็สามารถไปเลือกสไตล์ได้เองอีกที

นอกจากนี้ใน Mate 9 ยังอนุญาติให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอพเดียวกันได้ 2 แอพ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นการติดตั้งแอพ WhatsApp ไว้ 2 อันในเครื่อง อันนึงไว้ใช้เรื่องการทำงาน ส่วนอีกอันนึงไว้ใช้ส่วนตัวคุยกับเพื่อนและครอบครับ ประมาณนี้ครับ

เกือบลืมบอกไปว่าใน Mate 9 มีการแแสกนลายนิ้วมือที่ค่อนข้างรวดเร็วและแม่นยำเลยทีเดียว อีกทั้งมันยังใช้เพื่อล็อคแอพต่างๆได้ด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเท่าไรนัก

มาถึงในส่วนของ Xiaomi ที่ใช้ MIUI กับ Mi 5s Plus จริงๆแล้วถึงมันจะไม่ได้ครอบทับบน Android เวอร์ชั่นล่าสุดก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสู้ไม่ได้ซะทีเดียว เพราะบางฟีเจอร์ที่ให้มาก็เป็นการพัฒนาขึ้นเองโดยบริษัท ซึ่งไม่มีให้เห็นใน Android 6.0 ในเวอร์ชั่นธรรมดาๆทั่วไปนั่นเอง จะบอกว่ารัน “Android 6.0” ก็ไม่ใช่ทั้งหมดประมาณนั้นครับ

เราไปดูกันที่หน้า Home ของ Mi 5s Plus เลยครับ จะเห็นได้ว่าหน้า Home ของ Xiaomi เป็นแบบเดียวกับ iOS เลยคือไม่มี App Drawer มาให้ ซึ่งจะบอกว่าเราไม่สามารถตั้งค่าได้แบบ Mate 9 ข้างบนนะครับ กล่าวคือให้มาแบบไหนก็ต้องใช้ไปแบบนั้น นอกจากนี้มันก็จะไม่มีการ Split-screen เพื่อทำงานหลายๆงานพร้อมกันด้วย

ในส่วนของเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ Mi 5s Plus ก็สามารถทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำไม่ต่างไปจากของ Mate 9 เลยครับ จะด้อยกว่า Mate 9 นิดหน่อยตรงที่มันไม่สามารถใช้ล็อคแอพหรือไฟล์ได้ ทั้งนี้ในเรื่องการติดตั้งแอพเดียวกัน 2 อันในเครื่องก็จะสามารถทำได้นะครับ แต่ก็ต้องดูว่าทางผู้พัฒนาแอพอนุญาตไว้หรือเปล่าอีกที (Mate 9 เช่นกัน)

สำหรับซอฟท์แวร์ของ Mate 9 นั้นดูจะเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ไม่น้อย ส่วน MIUI ของ Xiaomi เองก็มีผู้ที่ชื่นชอบอยู่เช่นกัน ดังนั้นในส่วนนี้ขอให้เป็นวิจารณญาณของแต่ละท่านนะครับว่าชอบแบบไหนก็เลือกใช้ได้ตามนั้นเลย แต่ต้องไม่ลืมว่า Mi 5s Plus ราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่งนะ ^^

ประสิทธิภาพระดับเรือธง

มาถึงสิ่งที่หลายคนรอคอยกันแล้วครับกับเรื่องของประสิทธิภาพ เพราะแน่นอนว่าการเลือกสมาร์ทโฟนดีๆสักเครื่องหนึ่ง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคงหนีไม่พ้นเรื่องประสิทธิภาพ เพื่อจะได้รู้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นๆเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้หรือไม่นั่นเอง

ซึ่งในการเปรียบเทียบระหว่าง Mi 5s Plus ที่มาพร้อมกับ Snapdragon 821 (Clocked 2.34 Ghz) และ Kirin 960 ใน Mate 9 บอกได้เลยว่าต้องเป็นการปะทะกันที่ดุเดือดแน่นอน อย่างตัว SD821 ก็เป็นชิพเซ็ทตัวแรงที่ทุกคนกล่าวถึงอยู่แล้ว ทั้งนี้จะเห็นว่ามันถูกใช้กับ Google Pixel ด้วย ส่วน Kirin 960 ก็เป็นชิพรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับ GPU Mali-G71 ตัวใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบใหม่ล่าสุด เรียกได้ว่ากินกันไม่ลงเลย แต่เดี๋ยวเราไปดูการทดสอบกันดีกว่าครับ

AnTuTu 6

Basemark OS 2.0

GeekBench 4 (single-core)

GeekBench 4 (multi-core)

GFX 3.0 Manhattan (onscreen)

GFX 3.1 Manhattan (onscreen)

GFX 3.1 Car scene (onscreen)

Basemark X

Basemark ES 3.1 / Metal

หูยยย !! นับว่าเป็นการปะทะกันที่สูสีจริงๆ ผลัดกันขึ้นนำกันหลายต่อหลายตลบ กินกันไม่ลงจริงๆระหว่าง SD821 และ Kirin 960 โดยผลสรุปแล้วต้องบอกว่าประสิทธิภาพของชิพเซ็ททั้ง 2 รุ่น อยู่ในระดับเดียวกันด้วยราคาของตัวเครื่องที่ต่างกัน 1 เท่าตัวก็คงจะไม่ผิดเท่าไรนักครับ 

คุณภาพลำโพงและเสียง

สำหรับเรื่องของคุณภาพเสียงแล้วทาง Huawei Mate 9 สามารถทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว จากที่ได้ลองฟังดูพบว่าเสียงที่ออกมาจากลำโพงค่อนข้างชัดเจนและไม่มีการผิดเพี้ยนของเสียงให้ได้ยิน

ในส่วนของ Xiaomi Mi 5s Plus เองก็ทำได้ไม่แย่เลยนะครับ แต่จะให้ความรู้สึกแบบกลางๆมากกว่า จากการทดลองฟังรู้สึกว่าอุปกรณ์ไม่สามารถแสดงเสียงของมนุษย์ได้ดีเท่าที่ควร แต่โดยรวมแล้วก็ให้เสียงที่ชัดเจนและมีเบสเสริมมาด้วย เพียงแต่มันค่อนข้างจะเบาไปนิด

หากอ่านมาถึงตรงนี้คงพอทราบกันแล้วครับว่า Mate 9 มีคุณภาพเสียงที่ดีกว่าเจ้า Mi 5s Plus แต่ทว่าถ้านำ Mi 5s Plus ไปต่อกับอุปกรณ์ขยายเสียงอื่นๆมันกลับสามารถผลิตเสียงที่ดังกว่า Mate 9 ได้ ส่วนทาง Mate 9 จะมีจุดแข็งเรื่องของความคมชัดของเสียง โดยเฉพาะเมื่อใช้คู่กับหูฟังครับ

ถึง Mi 5s Plus จะไม่สามารถแซงหน้า Mate 9 ได้ในส่วนนี้ แต่สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องคุณภาพของเสียงมาก บอกได้เลยว่า Mi 5s Plus ไม่ได้ทำให้คุณผิดหวังหรอกครับ ยังไงก็ใช้ฟังได้อยู่แล้ว

การถ่ายภาพนิ่ง

เป็นอีกหนึ่งส่วนที่เชื่อว่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนหลายๆคนให้ความสำคัญไม่น้อยเลย ซึ่งสำหรับ Mate 9 จาก Huawei แล้ว ต้องบอกเลยว่ากล้องหลังของอุปกรณ์ถือเป็นจุดขายเลยล่ะครับ โดยใน Mate 9 นั้น ทาง Huawei ได้นำแบรนด์ Leica มาใช้ภายใต้เซนเซอร์ความละเอียด 20MP (ขาวดำ) และ 12MP (สี) มีขนาดรูรับแสงที่ f/2.2 พร้อมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS

ซึ่งการทำงานของมันก็จะเป็นเช่นเดียวกับใน P9 ก่อนหน้านี้ คือการนำภาพที่ได้จากเซนเซอร์ทั้ง 2 ตัวมารวมกันเพื่อให้ได้รูปถ่ายที่มีคุณภาพสูงและมีน้อยซ์ (Noise) ไม่มากแม้จะเป็นที่ที่มีแสงน้อย

แต่เราต้องยอมรับตามตรงเลยครับว่าเรารู้สึกไม่ค่อยชอบอินเตอร์เฟซใน Mate 9 เท่าไร เพราะดูเหมือนว่าเราต้องเข้าไปงมลึกๆในหน้า Setting ของกล้อง ทำให้ค่อนข้างจะช้าและลำบากเล็กน้อย

สำหรับ Xiaomi Mi 5s Plus อุปกรณ์รุ่นนี้ก็จะมีกล้องหลังแบบคู่เช่นเดียวกัน โดยการทำงานของเซนเซอร์แต่ละตัวก็จะคล้ายกับ Mate 9 เลยครับ คือตัวหนึ่งถ่ายภาพเป็นขาวดำ ส่วนอีกตัวถ่ายภาพสี จากนั้นค่อยนำมา Process รวมกัน แต่ทว่าใน Mi 5s Plus เซนเซอร์กล้องจะมีความละเอียดอยู่ที่ 13MP และรูรับแสงกว้าง f/2.2 ทั้ง 2 ตัวเลย

หากดูจากสเปคเบื้องต้นตรงนี้หลายๆคนคงต้องมองว่า Mate 9 เหนือกว่า แต่เราจะบอกว่า Mi 5s plus ก็ไม่ได้ถ่ายภาพออกมาเลวร้ายเลยนะครับ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการการันตีจาก Leica ก็เถอะ

ทั้งนี้ในส่วนของอินเตอร์เฟซการใช้งาน เรามองว่า Xiaomi ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว คือเข้าใจง่ายและค่อนข้างสะดวกต่อการเรียกใช้งานนั่นเองครับ

เราลองไปดูตัวอย่างภาพที่ได้จาก Mate 9 ด้านล่างนี้ก่อนเลยครับ เพราะจะเห็นได้ว่าภาพที่ออกมานี้ค่อนข้างจะดูดีเลยทีเดียว เพราะนอกจากรายละเอียดของภาพจะเนียนและคมชัดแล้ว จะเห็นได้ว่าสีของภาพถ่ายค่อนข้างสมจริงเลยล่ะ

12 MP Color
20 MP Color
12 MP Monochrome
12MP Color
20MP Color
20MP Monochrome
12MP Color
20MP Color
20MP Monochrome

นอกจากนี้ใน Mate 9 ยังสามารถปรับรูรับแสงได้อีกด้วย ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้าง Bokeh effect ได้อย่างง่ายดาย โดยจะสามารถปรับได้ตั้งแต่ f/0.95 ถึง f/16 แต่ทว่าฟีเจอร์นี้มันจะเป็นการจำลองเท่านั้นนะครับ กล่าวคือเป็นการสร้างเอ็ฟเฟคจากซอฟท์แวร์ เช่นเดียวกับใน P9 และ iPhone 7 Plus นั่นเอง

สำหรับภาพที่ได้จาก Mi 5s Plus จะเห็นได้ว่าสวยงามไม่แพ้กันเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายละเอียดของวัตถุหรือสี ซึ่งจากที่เราลองประเมินดู ถึงมันจะไม่สามารถเทียบเท่ากล้องหลังของ Mate 9 ได้ แต่เราก็ยังรู้สึกโอเคกับผลลัพธ์ที่ออกมา

13MP Color
13MP Monochrome
13MP Color
13MP Monochrome
13MP Color
13MP Monochrome

ส่วนภาพด้านล่างนี้จะเป็นตัวอย่างภาพที่ได้จาก Mate 9 และ Mi 5s Plus โดยจะเป็นการถ่ายในที่แสงน้อยครับ 

Mate 9
Mi 5s Plus

ในส่วนของการเซลฟี่ Mate 9 ก็ถือเป็นอุปกรณ์ที่ทำออกมาได้น่าชื่นชมไม่เบา ด้วยกล้องหน้าความละเอียด 8MP ที่ให้ Autofocus มาด้วย บวกกับรูรับแสงขนาด f/1.9 ส่วนใน Mi 5s Plus จะเลือกใช้กล้องความละเอียด 4MP ที่มีรูรับแสง f/2.0 โดยมีพิกเซลขนาดใหญ่ 2µm ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเห็นได้จากภาพด้านล่างนี้ครับ

Mate 9 Selfie
Mate 9 Selfie
Mi 5s Plus Selfie
Mi 5s Plus Selfie

สำหรับผู้ใช้ทั่วไป Mate 9 เป็นตัวเลือกที่ดีมากครับหากต้องการถ่ายรูปสวยๆหรือสร้าง Bokeh effect แบบง่ายๆ ส่วน Mi 5s Plus ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่เสียทีเดียว ตรงจุดนี้แล้วแต่ความพอใจของแต่ละท่านแล้วกันเนอะ ^^ แต่ถ้าถามว่าใครทำได้ดีกว่าก็คงต้องยอมรับว่าเป็น “Mate 9” ครับ

การถ่ายวิดีโอ

มาพูดกันต่อในเรื่องของการถ่ายวิดีโอครับ สำหรับสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้ ความสามารถในการถ่ายวิดีโอสูงสุดจะอยู่ที่ความละเอียด 2160 ที่ 30fps ครับ แต่ Huawei Mate 9 จะสามารถอัดวิดีโอ 60fps ได้ด้วย แต่จะมีความละเอียดที่ 1080p เท่านั้น ทั้งนี้ Mate 9 จะสามารถอัดเสียงได้ดีมากๆอีกด้วย (192Kbps vs. 96Kbps) จากการที่มีฟีเจอร์การป้องกันเสียงลมก็ยิ่งทำให้เสียงของวิดีโอมีคุณภาพทีดีขึ้นไปอี๊ก

นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า Mate 9 ถือไพ่เหนือกว่าในเรื่องของการอัดวิดีโอครับ เพราะเท่าที่เราทดสอบดู รู้สึกว่าวิดีโอความละเอียด 2160p ใน Mate 9 มีคุณภาพที่สูงกว่า แต่สำหรับใครที่ชอบอัดวิดีโอลง YouTube ความละเอียดเยอะๆแบบนี้จริงๆแล้วไม่เหมาะกับ YouTube เท่าไรครับ เพราะที่เหมาะจริงๆคือ 1080p ทั้งนี้เราขอเสริมไว้ด้วยว่าระบบป้องกันภาพในวิดีโอสั่นไหวจะทำงานที่โหมดความละเอียด 1080p เท่านั้น

สำหรับ Mi 5s Plus ตรงจุดนี้ถือเป็นจุดอ่อนเลยครับ แน่นอนว่ามันอาจจะถ่ายวิดีโอได้ดีกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆอีกหลายรุ่น แต่การแข่งขันกับ Huawei Mate 9 ในตอนนี้คงไม่ใช่สิ่งที่มันสามารถเอาชนะไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Dynamic range ที่ต่ำกว่า Mate 9 หรือเรื่องของนอยซ์ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่ แม้ว่าจะมีการตัดออกไปบ้างแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำให้สะอาดหมดจดได้ครับ

ทั้งนี้เจ้า Mi 5s Plus สามารถอัดวิดีโอที่ความละเอียด 1080p ได้ค่อนข้างดีทีเดียว แต่ทว่าเรื่องของ Dynamic range และ Noise ก็ยังคงเป็นปัญหาที่ควรเร่งแก้ไขอยู่เช่นเคย

ในส่วนของกล้องนี่บอกเลยครับว่า Mi 5s Plus นั้นสู้ทาง Mate 9 ไม่ได้จริงๆ ซึ่งจุดๆนี้น่าจะเป็นความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุด จากการที่มันมีราคาถูกกว่า 1 เท่าตัวนั่นเอง

สรุปส่งท้าย

Xiaomi Mi 5s Plus สามารถเอาชนะ Mate 9 ได้หรือไม่ ? คงเป็นคำถามที่หลายๆคนรอฟังคำตอบอยู่ใช่ไหมล่ะครับ…

เอาเป็นว่าเราขอตอบแบบนี้แล้วกันนะครับว่า… Mi 5s Plus สามารถให้หน้าจอที่สวยสดงดงามกับคุณได้ นอกจากนี้มันยังมีแบตเตอรี่ที่อึด และมันยังสามารถมอบประสิทธิภาพระดับเรือธงให้คุณได้ใช้งานกันแบบฟินๆ แต่สำหรับส่วนอื่นๆที่เหลือแล้ว ” คุณจะได้ในสิ่งที่คุณจ่ายไป ”

ตามความคิดเห็นของเรานะครับ เรามองว่าหากใครที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่สามารถถ่ายวิดีโอได้ดีและสามารถมอบเสียงเพลงที่ไพเราะให้ได้ (ใส่/ไม่ใส่หูฟัง) บอกตรงนี้เลยว่าควักเงินลงทุนนิดนึงในการซื้อ Mate 9 ไปเลย เพราะว่าเรือธงรุ่นนี้สามารถตอบโจทย์คุณได้ดีกว่า Mi 5s Plus แน่นอน และนอกจากนี้มันยังมาพร้อมกับรายละเอียดยิบย่อยที่ดีกว่าอีกมากมาย อย่างเช่นหน้าจอที่สู้แสงแดดได้ดีกว่า หรือแม้กระทั่ง Android เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด

แต่อย่างไรก็ตามเราอยากบอกทุกคนว่าการเลือกสมาร์ทโฟนมาใช้งาน “สิ่งที่ควรคำนึงถึงที่สุดคือความต้องการของตนเองครับ” เพราะแน่นอนว่าสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในโลกก็อาจไม่ได้เหมาะกับผู้ใช้ทุกคน ดังนั้นอย่างแรกเลยให้ถามตัวเองก่อนว่าต้องการสมาร์ทโฟนมาใช้งานอะไรบ้าง เพราะนอกจากเรื่องของกล้องและเสียงแล้ว เจ้า Mi 5s Plus ก็ทำได้ดีไม่แพ้ Mate 9 เลย แต่มันกลับมาในราคาที่ถูกกว่าอย่างมหาศาล

ดังนั้นเอาเป็นว่าถ้าใครมีงบประมาณจำกัดหรือต้องการประหยัด การเลือกซื้อ Mi 5s Plus มาใช้ก็ถือเป็นคำตอบที่คุ้มค่าที่สุดเลยครับ ส่วนใครมีงบมากหน่อยและรักการถ่ายรูปหรืออัดวิดีโอ การจับจอง Mate 9 มาไว้ใช้งานก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง…

compared featured Flagship Huawei Mate 9 Xiaomi Mi 5s Plus
Google News YouTube
Share. Facebook Twitter LinkedIn Email Copy Link
Avatar photo
Appdisqus Team
  • Website
  • Facebook
  • X (Twitter)
  • Instagram
  • LinkedIn

คอมลัมนิสต์แอ๊คหลุมผู้หลงใหล IT และ Gadget พร้อมสาระความรู้ How To ดีๆ สำหรับการใช้งานมือถือและแท๊ปเบล็ตที่พร้อมจะมาแชร์กับเพื่อนๆ ที่สนใจในเนื้อหาเดียวกัน เพื่อให้พื้นที่ AppDisqus.com เป็นสเปซสำหรับการแบ่งบันโดยแท้จริง

Advertisement
Advertisement
Advertisement

Related Posts

5 เกมเด่นเหนือกาลเวลาที่ขอท้าให้คุณได้เล่นก่อนตาย
Game Spotlight

5 เกมเด่นเหนือกาลเวลาที่ขอท้าให้คุณได้เล่นก่อนตาย

12 กันยายน 2022
Android

Huawei Mate 9 และ P10 และอีกหลายรุ่นจะได้รับการอัปเดต EMUI 9.1 ตัวเบต้า

17 กรกฎาคม 2019
Android

ได้ไปต่อ Huawei เปิดทดสอบตัวเบต้า EMUI 9.0 สำหรับมือถือรุ่น Mate 9 และ P10

24 ตุลาคม 2018
Android

ดูหนัง ฟังเพลง เปลือง 4G และ 3G กันสักเท่าไหร่ มาดูกัน!

5 กรกฎาคม 2017
kooup-review
Android

รีวิว Kooup หาคู่จริงจัง หาแฟนจริงใจพร้อมตรวจดวงสมพงษ์ง่ายๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น

4 กรกฎาคม 2017
Your Updates

LG G6 อีกหนึ่งสมาร์ทโฟนที่จะมาพร้อมมาตรฐานการป้องกันน้ำและไรฝุ่น

23 กุมภาพันธ์ 2017
What Score?
8.5
Devices

รีวิว Infinix Note 50 Pro+ 5G+ สมาร์ตโฟนสุดคุ้ม สเปคแรง! ชาร์จไว 100W กล้อง 50MP OIS ซูม 100X

By Noppinij1 พฤษภาคม 2025264 Views
7.7
Devices

รีวิว vivo V50 Lite และ vivo Watch GT สมาร์ตโฟน+สมาร์ตวอทช์ “คู่หูแบตอึด” บางเบา จอคมชัด จัดเต็มเกินราคา

By Noppinij22 เมษายน 2025229 Views
8.9
Devices

รีวิว OPPO Find N5 สมาร์ตโฟนจอพับบางที่สุดในโลก แข็งแรง เทคโนโลยีล้ำ! พร้อมสำหรับการทำงาน และกล้องระดับโปร

By Noppinij8 เมษายน 2025299 Views
7.2
Devices

รีวิว vivo Y39 5G จัดเต็ม เครื่องสวยสายลุย! “เอาอยู่ ทุกความท้าทาย”

By Noppinij3 เมษายน 2025

On AppDisqus Channel

รีวิว Alldocube iPlay60 Pad Pro แท็บเล็ตลูกครึ่งโน๊ตบุ๊ค หน้าจอ 12.1 นิ้ว แบต 10000mAh สเปกคุ้มๆ ราคาไม่ถึงเก้าพัน

Follow Us
  • Facebook
  • Twitter
  • YouTube
  • TikTok
Latest
Miscellaneous

ทำไมคนใช้ AI จึงยอมเสียค่าสมาชิก? เพราะ AI ใช้ง่ายสำหรับทุกคน “สิทธิ์เข้าถึง” จึงกลายเป็นตัววัดความเหลื่อมล้ำ

By Noppinij13 พฤษภาคม 2025

The Elder Scrolls IV: Oblivion Remastered มีปัญหาประสิทธิภาพ บนคอนโซล

12 พฤษภาคม 2025

ข่าวหลุดล่าสุดของ iPhone 17 Series บอกใบ้สิ่งที่แฟนๆหลายคนหวังว่าจะไม่จริง

12 พฤษภาคม 2025

Killing Floor 3 ประกาศวันวางจำหน่ายใหม่ 24 กรกฎาคมนี้ หลังเลื่อนจากกำหนดเดิม

12 พฤษภาคม 2025

Samsung เตรียมเพิ่ม “Private album” ซ่อนภาพและวิดีโอลับได้ใน One UI 8 โดยไม่ต้องลงแอปเพิ่ม

12 พฤษภาคม 2025
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
Miscellaneous

ทำไมคนใช้ AI จึงยอมเสียค่าสมาชิก? เพราะ AI ใช้ง่ายสำหรับทุกคน “สิทธิ์เข้าถึง” จึงกลายเป็นตัววัดความเหลื่อมล้ำ

13 พฤษภาคม 2025
PlayStation World

The Elder Scrolls IV: Oblivion Remastered มีปัญหาประสิทธิภาพ บนคอนโซล

12 พฤษภาคม 2025
iPhone Updates

ข่าวหลุดล่าสุดของ iPhone 17 Series บอกใบ้สิ่งที่แฟนๆหลายคนหวังว่าจะไม่จริง

12 พฤษภาคม 2025
Xbox & PC World

Killing Floor 3 ประกาศวันวางจำหน่ายใหม่ 24 กรกฎาคมนี้ หลังเลื่อนจากกำหนดเดิม

12 พฤษภาคม 2025
แอพดิสคัส
Facebook X (Twitter) Instagram YouTube TikTok
  • Home
  • ติดต่อโฆษณา
  • Cookies Policy & Settings
© 2025 APPDISQUS.COM APPDISQUS : A Source You Can Trust.

Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าคุกกี้อนุญาตทั้งหมด
ตั้งค่าความยินยอม

Privacy Overview

AppDisqus.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานในขณะที่คุณกำลังอ่านและรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ โดยในบรรดาคุกกี้เหล่านี้ คุกกี้ประเภทข้อมูลที่จำเป็นนั้นจะถูกจัดเก็บเอาไว้บนอุปกรณ์ส่วนตัวของคุณเองที่ใช้สำหรับการเข้าชมเว็บไซต์เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าคุกกี้เหล่านี้เป็นคุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ นอกจากนี้เรายังใช้คุกกี้บุคคลที่สามเพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์และเข้าใจการใช้งานเว็บไซต์ AppDisqus.com ของคุณมากยิ่งขึ้น โดยคุกกี้เหล่านี้จะถูกจัดเก็บเอาไว้บนอุปกรณ์ของคุณเท่านั้น และจะจัดเก็บได้ก็ต่อเมื่อคุณได้การอนุญาต ทั้งนี้คุณสามารถจัดการกับการตั้งค่าคุกกี้ของคุณได้เสมอผ่านทางเมนูการตั้งค่านี้

อย่างไรก็ตาม การปิดการใช้งานคุกกี้บางประเภทอาจทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลต่อประสบการณ์การใช้งานของคุณได้
ข้อมูลจำเป็น
Always Enabled
คุกกี้บางประเภทนั้นจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้งานเพื่อทำให้เว็บไซต์สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ครบฟังก์ชั่นกับผู้ใช้งานได้ โดยคุกกี้ประเภทนี้จะช่วยให้เราคงเซ็สชั่นการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเอาไว้ ตลอดจนป้องกันสิ่งต่างๆ ที่มีผลต่อความปลอดภัยในการใช้งานเว็บไซต์ AppDisqus.com ทั้งนี้ คุกกี้ประเภทนี้จะไม่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น คุกกี้ประเภทนี้จะใช้เพื่อให้คุณสามารถเข้าสู่ระบบและคงสถานะการเข้าระบบของคุณบนเว็บเว็บไซต์เราเอาไว้ได้นั่นเอง
CookieDurationDescription
AWSALBCORS7 daysAmazon Web Services ใข้คุกกี้นี้เพื่อเป็นการใช้งานฟังก์ชั่น load balancing หรือการกระจายโหลดเซิร์ฟเวอร์
cf_use_obpastCloudflare ใช้คุกกี้นี้เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพความรวดเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ เพื่อประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชม
cookielawinfo-checkbox-analytics11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "ข้อมูลสถิติ"
cookielawinfo-checkbox-functional11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "ฟังก์ชั่นการทำงาน"
cookielawinfo-checkbox-necessary11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "จำเป็น"
cookielawinfo-checkbox-others11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "อื่นๆ"
cookielawinfo-checkbox-performance11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "ประสิทธิภาพ"
JSESSIONIDsessionคุกกี้ JSESSIONID ถูกใช้โดย New Relic เพื่อเป็นการเก็บไอดีจำเพราะในการเข้าใช้งานของผู้ใช้งานเพื่อให้ New Relic สามารถติดตามและตรวจนับเซ็ตชั่นการเข้าใช้งานเว็บไซต์ได้
viewed_cookie_policy11 monthsคุกกี้นี้ใช้เพื่อเป็นการเก็บความยินยอมในการอนุญาตให้จัดเก็บและใช้งานคุกกี้ของผู้ใช้งาน โดยไม่มีการจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวใดๆ ของผู้ใช้งานแม้แต่น้อย
ข้อมูลเพื่อฟังก์ชั่นการทำงาน
คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลเพื่อฟังก์ชั่นการทำงานที่อาจไม่ได้จำเป็นที่สุดบนหน้าเว็บไซต์ AppDisqus.com ยกตัวอย่างเช่นฟังก์ชั่นการฝังสื่อประเภทวิดีโอและปุ่มการแชร์บทความไปยังโซเชียลมีเดียต่างๆ บนเว็บไซต์เป็นต้น
ข้อมูลประสิทธิภาพ
คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อวิเคราะห์ความเข้าใจในประสบการณ์การทำงานของเว็บไซต์ต่อผู้ใช้งาน เพื่อให้เราสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลสถิติ
คุกกี้ประเภทนี้จะจัดเก็บข้อมูลประเภทสถิติ เช่นตัวเลขผู้เข้าชมเว็บไซต์ ตัวเลข UIP หรือผู้ใช้งานที่นับต่อ IP ข้อมูลหน้าเว็บไซต์ที่ถูกเข้าถึงบ่อยที่สุด ข้อมูลแหล่งที่มาของการเข้าถึง และอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน โดยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์เราได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนชี้ให้เห็นว่าเราควรปรับปรุงในเรื่องใดเพื่อประสบการณ์ที่ดีขึ้นของผู้ใช้งาน
CookieDurationDescription
_ga_CE4TLMWX4S2 yearsคุกกี้ถูกติดตั้งโดย Google Analytics เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
_gid1 dayติดตั้งโดย Google Analytics โดย คุกกี้ _gid นี้ใช้สำหรับการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของผู้เข้าชม ในขณะเดียวกันก็ยังใช้ในการจัดทำสถิติสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพของเว็บไซต์ด้วย โดยข้อมูลที่เก็บนั้นยกตัวอย่างเช่นจำนวนผู้เข้าชม แหล่งที่มา และหน้าที่ผู้เข้าชมเปิดอ่านโดยไม่เปิดเผยตัวตนของผู้เข้าชม
ข้อมูลเพื่อการโฆษณา
คุกกี้ประเภทโฆษณาจะช่วยให้เราสามารถเผยแพร่โฆษณาที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้เข้าชมเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น โดยคุกกี้ประเภทนี้จะติดตามการใช้งานในเว็บไซต์ AppDisqus เท่านั้นเพื่อการเผยแพร่โฆษณาได้อย่างตรงความต้องการของผู้ใช้งานต่อไป
CookieDurationDescription
IDE1 year 24 daysคุกกี้จาก Google DoubleClick IDE นี้ติดตั้งโดย Google เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อกำหนดมาตรฐานในการเลือกโฆษณาที่ตรงความต้องการของผู้ใช้งานมาแสดงบนหน้าเว็บไซต์
test_cookie15 minutesคุกกี้นี้ถูกติดตั้งโดย Doubleclick.net (Google) เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าบราวเซอร์ที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ใช้งานอยู่รองรับคุกกี้หรือไม่
VISITOR_INFO1_LIVE5 months 27 daysคุกกี้นี้ถูกใช้งานโดย Youtube เพื่อตรวจสอบแบนด์วิดธ์ที่ผู้ใช้งานใช้ในการเปิดดูวิดีโอ เพื่อเป็นการระบุเวอร์ชั่นของตัวเล่นวิดีโอว่าเป็นเวอร์ชั่นใหม่หรือเก่า
YSCsessionคุกกี้ YSC ถูกติดตั้งและใช้งานโดย Youtube โดยใช้เพื่อเป็นการดึงเอาข้อมูลวิดีโอจากเว็บไซต์ Youtube ขึ้นมาแสดงในหน้าที่ดึงเอาวิดีโอนั้นๆ มาแสดง
yt-remote-connected-devicesneverYoutube ติดตั้งคุกกี้นี้เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลการตั้งค่าการเล่นวิดีโอของ Youtube บนเว็บไซต์นี้เพื่อใช้ในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
yt-remote-device-idneverYoutube ติดตั้งคุกกี้นี้เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลการตั้งค่าการเล่นวิดีโอของ Youtube บนเว็บไซต์นี้เพื่อใช้ในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
yt.innertube::nextIdneverคุกกี้จาก Youtube ประเภทนี้ใช้สำหรับการสร้างเลขไอดีจำเพาะเพื่อเก็บข้อมูลของวิดีโอที่ผู้เข้าชมเพิ่งรับชมไปในเว็บไซต์นี้
yt.innertube::requestsneverคุกกี้จาก Youtube ประเภทนี้ใช้สำหรับการสร้างเลขไอดีจำเพาะเพื่อเก็บข้อมูลของวิดีโอที่ผู้เข้าชมเพิ่งรับชมไปในเว็บไซต์นี้
ข้อมูลอื่นๆ
คุกกี้ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ได้มีการระบุหมวดหมู่ประเภทเอาไว้ แต่อาจมีผลต่อประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์
SAVE & ACCEPT
Powered by CookieYes Logo