Close Menu
  • Home
  • Android
    • News
    • Tips
  • Apple
    • iPad
      • News
      • Tips
    • iPhone
      • News
      • Tips
  • WINDOWS
    • News
    • Tips
  • Gaming
    • Game Review
    • PlayStation
    • Nintendo
    • Xbox & PC
    • Mobile
  • Gadget Reviews
    • Accessories
    • Devices
  • Wearable
  • EV Car
  • Miscellaneous
    • News
    • Tips
  • Tips and Tricks
  • Video
  • Cooky Policies
  • ติดต่อโฆษณา
แอพดิสคัสแอพดิสคัส
  • Home
  • Android
    • Tips & Tricks
  • Apple
    • Tips & Tricks
  • Windows
    • Tips & Tricks
  • Gaming
    • Game Review
    • In Spotlight
    • PlayStation
    • Xbox & PC
    • Nintendo
    • Mobile Games
  • Reviews
    • Mobiles & Tablets
    • Game Review
    • Accessories
  • EV Car
  • Miscellaneous
แอพดิสคัสแอพดิสคัส
คุณกำลังอ่าน :Home » Miscellaneous » News » Living Smart : ระบบเสียง Dolby Atmos / DTS-X คืออะไร และจะต้องเซ็ตอย่างไรให้ได้เสียงที่ว่าในงบประมาณที่เหมาะสม…ที่นี่มีคำตอบ
Featured Story

Living Smart : ระบบเสียง Dolby Atmos / DTS-X คืออะไร และจะต้องเซ็ตอย่างไรให้ได้เสียงที่ว่าในงบประมาณที่เหมาะสม…ที่นี่มีคำตอบ

22 พฤศจิกายน 2020Updated:22 สิงหาคม 20235 Mins Read
Living Smart 2 Sound System Cover

หลังจากที่ตอนแรกใน Living Smart นั้นเราได้ชวนเพื่อนๆ พูดถึงเรื่องของระบบภาพที่เหมาะสมสำหรับบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, Apple TV+ และอื่นๆ อีกมากมายกันไปแล้ว รวมถึงได้ชวนคุยเรื่องการเลือกจอทีวีเพื่อให้มารองรับการใช้งานเหล่านี้ได้ในโจทย์ที่ว่าต้องดีในคุณภาพ ดีต่อใจ และดีต่อกระเป๋าสตางค์กันไปแล้วนั้น วันนี้ Living Smart และ APPDISQUS จะพาเพื่อนๆ มาพูดคุยกับเรื่องที่ 2 ที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือเรื่องของระบบเสียงและการเซ็ตอัพเดตลำโพงและระบบเสียงให้กับโฮมเธียร์เตอร์เราให้เหมาะสมกับบริการสตรีมมิ่งเซอร์วิสในปัจจุบันกันบ้างนั่นเอง

และหากเพื่อนๆ ยังไม่ได้อ่านตอนแรกที่เกี่ยวกับระบบภาพไป เพื่อนๆ ก็สามารถย้อนกลับไปอ่านได้จากลิงก์นี้เลย

Living Smart: ชอบดู Netflix และ Apple TV+ ควรเลือกทีวีแบบไหนดี? ที่นี่มีคำตอบ


เอาล่ะ เกริ่นกันสักนิดก่อนดีกว่าว่าในบทความที่เพื่อนๆ กำลังอ่านกันอยู่นี้ เราจะไปทำความรู้จักกับระบบเสียงที่เราเห็นอยู่ในปกภาพยนตร์หรือรายละเอียดภาพยนตร์บน Netflix, Apple TV+, Disney+ รวมไปจนถึง Amazon Prime และบริการอื่นๆ อีกมากมายว่ามันหมายถึงอะไร โดยจะครอบคลุมไปถึงระบบ 5.1, 7.1, Dolby Digital, Dolby Surround และระบบเสียงล่าสุดที่ใครๆ ก็ว่าเจ๋งอย่าง Dolby Atmos และที่สำคัญกว่านั้นคือเราต้องใช้อะไรบ้างในการเซ็ตอัพเสียงตามระบบที่เราต้องการ ต้องใช้ลำโพงกี่ตัว และตำแหน่งของลำโพงแต่ละตัวควรอยู่ตรงไหน วันนี้เราจะชวนไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน

ในมาตรฐานใหม่ๆ นั้นมีการเพิ่มระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS-X ขึ้นมา และตอนนี้มี IMAX Enhanced และ Auro 3D ขึ้นมาด้วยแต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนักในปัจจุบันทั้งทางฝั่งผู้ใช้งานและฝั่งผู้ผลิตคอนเทนต์ ซึ่งหมายถึงโค๊ดเสียงใหม่ที่มีเมต้าจากมุมสูง โดยเราจะเรียกเสียงพวกนี้ว่า Object Based Surround System หรือระบบเสียงที่เสียงเกิดตามมิติของวัตถุที่แสดงผลจริงในหน้าจอนั่นเอง ทำให้เสียงจากภาพยนต์มีมิติมากขึ้นเยอะ

Advertisement
Advertisement
Advertisement

2. ระบบเสียง

sound-system-hometheater

ที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับการทำห้องชมภาพยนตร์ที่รองรับกับบริการสตรีมมิ่งในปัจจุบันนี้อย่างเต็มที่นั้นคือระบบเสียงนั่งเอง โดยระบบเสียงในบ้านที่นิยมใช้กันในปัจจุบันนั้นจะเป็น 5.1 หรือ 7.1 (จริงๆ 9, 11 ก็มีนะครับ แต่ไม่ค่อยนิยมใช้ตามบ้าน) โดยตัวเลขแรกนั้นบอกจำนวนลำโพง ในแนวราบรอบด้าน เช่น 5 คือมี 5 ตัว แบ่งเป็น คู่หน้า (Front) 2 ตัว, คู่หลัง (Rear) 2 ตัว และ Center อีก 1 ตัว ในขณะที่ 7 นั้นจะมีลำโพงเพิ่มด้านข้าง (Surround) มาอีก 2 ตัวนั่นเอง

ส่วน .1 ด้านหลังเป็นการระบุจำนวนซัพวูฟเฟอร์หรือลำโพงเสียงคลื่นต่ำในระบบ โดย .1 ก็หมายถึงมีซัพ 1 ลูก ในขณะที่ถ้าเป็น .2 นั้นจะหมายถึงมีซัพ 2 ลูกในระบบนั่นเองครับ

ภาพแสดงการจัดวางลำโพง 5.1
ภาพแสดงการจัดวางลำโพง 7.1

สรุปง่ายๆ คือ 5.1 จะมีลำโพง 5 ลูก ซัพ 1 ลูก และ 7.1 จะมีลำโพง 7 ลูก ซัพ 1 ลูก ในขณะที่ 5.2 จะมีลำโพง 5 ลูก ซัพ 2 ลูก และ 7.2 จะมีลำโพง 7 ลูก ซัพ 2 ลูกนั่นเอง ซึ่งการเซ็ตอัพแบบนี้จะทำให้เราสามารถเล่นเสียง Dolby Surround แบบขั้นต่ำ 5.1 ที่ใน Netflix และ Apple TV+ มีเป็นมาตรฐานในทุกเรื่องได้ รวมถึงเสียง DTS ด้วย (ใน Netflix จะมีระบุเป็นตัวเลขตรงรายละเอียดหนังว่าเป็น 5.1 แต่บางคนอาจเคยเห็นคำว่า Atmos ในบางเรื่องซึ่งเราจะพูดถึงกันต่อไป)


Dolby Atmos และ DTS-X มิติใหม่แห่งเสียงรอบทิศทางที่แท้จริง…เหรอ?

ในมาตรฐานใหม่ๆ นั้นมีการเพิ่มระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS-X ขึ้นมา และตอนนี้มี IMAX Enhanced และ Auro 3D ขึ้นมาด้วยแต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนักในปัจจุบันทั้งทางฝั่งผู้ใช้งานและฝั่งผู้ผลิตคอนเทนต์ ซึ่งหมายถึงโค๊ดเสียงใหม่ที่มีเมต้าจากมุมสูง โดยเราจะเรียกเสียงพวกนี้ว่า Object Based Surround System หรือระบบเสียงที่เสียงเกิดตามมิติของวัตถุที่แสดงผลจริงในหน้าจอนั่นเอง ทำให้เสียงจากภาพยนต์มีมิติมากขึ้นเยอะ (เป็น 3D Audio เช่นเดียวกับที่ Apple มีการออกซัพพอร์ตให้ Airpods Pro ในชื่อ Spatial Audio นั่นเอง หรือในกรณีของ PlayStation 5 นั้น Sony ก็มีประกาศออกมาแล้วในชื่อรหัสเสียง Tempest Audio หรือ 3D Pulse) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานยุคใหม่ในปัจจุบันนี้ โดยโค๊ดการเซ็ตอัพลำโพงก็จะมี จุด (.) ต่อท้ายพ่วงเพิ่มขึ้นมา เช่น 5.1.2 ก็จะหมายถึง มีลำโพง 5 ตัว ซัพ 1 ตัว และลำโพงแนวสูงหรือลำโพง Atmos อีก 2 ตัวนั่นเอง เช่นเดียวกับ 5.1.4 ที่จะหมายถึงมีลำโพง Atmos ถึง 4 ตัว คือ Top Front และ Top Rear หรือ 5.1.6 ที่จะมีลำโพง Atmos มากถึง 6 ตัวด้วยกัน โดยจะเพิ่ม Top Middle มาอีกหนึ่งคู่นั่นเอง

ความเจ๋งของ Dolby Atmos นั้นคือการให้ประสบการณ์เสียงแบบ 360 องศา ล้อมรอบตัวเราเลยทีเดียว โดยมี Subwoofer ช่วยสร้างบรรยากาศเสียงจากพื้นขึ้นมา ในขณะที่ลำโพงเหนือศีรษะทั้งหมดนั้นจะสร้างบรรยากาศเสียงเหนือหัวของเรา ทำให้เวลาที่เราชมภาพยนตร์ เราจะได้รับประการณ์เสียงที่สมจริงตามที่ภาพแสดงผลบนหน้าจอของเรานั่นเอง

แต่ทั้งนี้ Dolby Atmos เอง ณ ปัจจุบันก็ยังแบ่งออกเป็นสองประเภทด้วยกัน ซึ่งก็คือแบบ Lossy (Atmos ที่ถูกบีบอัดเสียงมา หรือที่เรียกว่า E-AC3, DD+) และแบบ Lossless (Atmos ที่ปล่อยเสียงเต็ม พวก TrueHD ทั้งหลาย) ซึ่งประเภทแรกนั้นจะหาได้จากบริการสตรีมมิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Apple TV+ หรือ Disney+ รวมไปจนถึงแอพพลิเคชั่นสำหรับดูหนังที่นิยมใช้กันบน Apple TV อย่าง Infuse และแบบที่ 2 นั้นจะหาได้จากแผ่น BluRay หรือ UHD ต่างๆ นั่นเอง


คุณภาพสัญญาณเสียง Dolby Atmos ที่แตกต่างกันในบริการสตรีมมิ่งแต่ละราย

แต่ถึงแม้ว่าบริการสตรีมมิ่งทั้งหลายนั้นจะใช้เสียง Dolby Atmos แบบที่เรียกว่า DD+ หรือ E-AC3 อย่างไรก็ตาม คุณภาพของสัญญาณเสียงที่ส่งออกมานั้นก็ยังแตกต่างกันไปในแต่ละบริการ เช่นเดียวกับคุณภาพของสัญญาณภาพโดยจากข้อมูลคุณ Sonoftumble ในวันที่ 26 มกราคม 2562 บนเว็บไซต์ AVSFORUM นั้นได้เผยถึงคุณภาพสัญญาณเสียงที่ส่งออกมาจากบริการสตรีมมิ่งดังนี้

Streaming Services

iTunes: บิตเรตเสียงโดยเฉลี่ย 770 kbps – บิตเรตวิดีโอโดยเฉลี่ย is 25 Mbps.
MoviesAnywhere: บิตเรตเสียงโดยเฉลี่ย 256 kbps – บิตเรตวิดีโอโดยเฉลี่ย 25 Mbps
Netflix: บิตเรตเสียงโดยเฉลี่ย 436 kbps – บิตเรตวิดีโอโดยเฉลี่ย 16 Mbps.
Prime: บิตเรตเสียงโดยเฉลี่ย 448 kbps – บิตเรตวิดีโอโดยเฉลี่ย 10 Mbps.
Vudu: บิตเรตเสียงโดยเฉลี่ย 560 kbps – บิตเรตวิดีโอโดยเฉลี่ย 14 Mbps.

ซึ่งหากดูจากข้อมูลดังกล่าวแล้วเราจะเห็นว่าบริการสตรีมมิ่งจาก Apple นั้นให้คุณภาพของเสียงและภาพที่ดีที่สุด (โดยดูจาก Bitrate ที่ปล่อยออกมา) ในขณะที่หากโฟกัสที่เสียงเป็นสำคัญแล้ว บริการ Prime จาก Amazon เข้าวินมาเป็นอันสอง เฉือนชนะ Netflix มาได้เพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เมื่อกลางปีที่ผ่านมา Netflix ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า High Quality Audio โดยเป็นเป็นบริการสำหรับสมาชิกแบบ Premium ที่ Netflix เองจะเลือก Bitrate เสียงในการสตรีมให้เหมาะสมกับคุณภาพของอินเตอร์เน็ตในขณะนั้น ซึ่งสำหรับเสียง Dolby Atmos นั้น Netflix เองจะสตรีมเสียงออกไปสูงสุดที่บิตเรต 768kbps ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับบริการของ Apple ที่มีการทดสอบเอาไว้มากทีเดียว


ต้องทำยังไงถึงจะได้ Dolby Atmos และ DTS-X มาใช้ในห้องโฮมของเรา

เมื่อเราพูดถึงเรื่องเสียง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตัวขับเสียงและลำโพงของเรานั่นเอง โดย ณ ปัจจุบันนี้มีสองเทคโนโลยีสำคัญที่นิยมใช้กันตามบ้านเรือน ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับเม็ดเงินลงทุนและพื้นที่หน้างาน

 

  • Soundbar อุปกรณ์ขับเสียงพร้อมลำโพงในตัวแบบลงทุนไม่มากและประหยัดพื้นที่

JBL Bar 9.1

ปัจจุบันนี้ Soundbar ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนลำโพงและตัวขับเสียง เพราะนอกจากจะประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งแล้ว ยังประหยัดเงินในกระเป๋าสตางค์อีกด้วย ที่น่าสนใจคือเทคโนโลยี Soundbar ในปัจจุบันนั้นไปไกลมาก หลายต่อหลายตัวรองรับเทคโนโลยีอย่าง Dolby Atmos โดยจำลองเสียงเหนือหัวได้ใกล้เคียงกับ Sound Stage ประหนึ่งมีลำโพงเหนือหัวทั้ง 2 ตัวและ 4 ตัว และมีลำโพงรอบตัวอีกตั้งแต่ 5 ตัวไปจนถึง 9 ตัว ยกตัวอย่างเช่น Soundbar ของ Samsung รุ่น HW-Q80R ที่จำลองเสียงเสมือน 5.1.2 ได้ในราคาเพียงประมาณ 16,000 บาท หรือหากงบไหวจะขยับไปอีกหน่อยเป็น HW-Q90R ที่จำลองเสียงเสมือน 7.1.4 ได้ในราคาประมาณ 24,000 บาท นั่นเอง

นอกเหนือจาก Samsung แล้ว อีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจคงเป็นค่ายลำโพงคุณภาพอีกค่ายอย่าง JBL ที่ก็มีตัว JBL Bar 9.1 ที่สามารถจำลองระบบเสียงได้ทั้ง 5.1.4 และ 9.1 ชาแนล โดยลูกเล่นสำคัญในการสร้างสนามเสียงนั้นคือการที่ Soundbar สามารถแยกร่างลำโพงขนาดเล็ก 2 ตัวออกมาจากชุดใหญ่เพื่อเอาไปวางไว้ที่ตำแหน่งหลังจัดรับชมแบบไร้สายได้นั่นเอง ซึ่งเจ้าตัวนี้สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 29,900 บาท

โดยทุกรุ่นที่พูดไปด้านบนนั้นรองรับการส่งรหัสเสียง Dolby Atmos TrueHD (และพวก E-AC3 หรือ DD+ ด้วย) และ DTS-X ซึ่งเป็นมาตรฐานเสียงยุคใหม่ที่ใช้อยู่ในบริการสตรีมมิ่งตามที่กล่าวมาข้างต้น ในงบประมาณที่จับต้องได้ และพื้นที่ใช้สอยที่ประหยัด ดังนั้นใครจะเอาไปใช้กับห้องรับแขก หรือเซ็ตทีวีที่บ้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่ติดตั้งหรือการเซ็ตค่าเสียงแต่อย่างใด เพราะ Soundbar พวกนี้มาพร้อม AI ที่จะช่วยเซ็ตเสียงให้เหมาะสมกับพื้นที่รับชมได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน

 

  • ชุด AVR (Audio/Video Receiver) และลำโพงตามความเหมาะสม  เหมาะกับผู้ที่มีห้องดูหนังเป็นสัดส่วน ราคารวมสูงพอประมาณ

AVR Marantz Set

AVR หรือ Audio/Video Receiver นั้นถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการสร้างห้องโฮมอย่างเป็นกิจลักษณะ โดย ARV ในปัจจุบันนั้นมีมากมายหลายแบรนด์ และที่นิยมในบ้านเราและในตลาดโลกคงหนีไม่พ้นแบรนด์ตลาดอย่าง Denon, Marantz, Onkyo และ Yamaha นั่นเอง ทั้งนี้ในแต่ละปี แบรนด์ต่างๆ ก็จะออก AVR รุ่นใหม่ที่มาพร้อมคุณสัมบัติใหม่ๆ ที่น่าสนใจ โดยครอบคลุมตั้งแต่รุ่นที่มีราคาประหยัดไปจนถึงรุ่นที่เน้นสเป็กแต่ราคาก็โหดไปด้วย

เนื่องจากการจะทำระบบ Home Theater โดยใช้ AVR นั้นค่อนข้างที่จะต้องลงทุนสูง เพราะเมื่อได้ AVR ที่ค่าตัวก็หลายหมื่นมาแล้ว เราก็ยังต้องหาลำโพงแยกแต่ละตัวมาประกอบให้ครบชุด 5.1, 7.1, 9.1 และพวกลำโพง Atmos หากเราต้องการเซ็ตอัพระบบที่รองรับ Atmos เพราะเหตุนี้แบรนด์ผู้ผลิตจริงมีชุดเซ็ต Home Theater ที่เราเรียกว่า HITB หรือ Home Theater In the Box ซึ่งเป็นการจับรวมชุด AVR รุ่นตั้งต้นเข้ากับพวกลำโพง OEM ของแบรนด์ตัวเอง เพื่อลดต้นทุนในการลงทุนให้กับผู้ที่สนใจระบบ Home Theater ที่อาจจะยังไม่ได้สนใจเรื่องคุณภาพเสียงและภาพมากนัก แต่เน้นประหยัดและง่ายกว่า โดยเพียงแค่แกะกล่องเสียบสายลำโพงต่างๆ ที่แถมมาเข้ากับ AVR ก็พร้อมใช้งานแล้ว

แต่ไม่ว่าจะเป็น AVR แยก หรือจะเป็น AVR ชุดรวมลำโพง ในโรงของเครื่องเสียง Home Theater นั้น เทคโนโลยีที่เอาไปใส่ใน AVR พวกนี้ก็ถือว่าใหม่สุดและดีสุดเท่าที่เซ็ตอัพโฮมเธียเตอร์ตามบ้านจะต้องการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการรองรับระบบเสียงทั้ง Dolby Atmos และ DTS-X ยาวไปจนถึงระบบเสียงใหม่อย่าง IMAX Enhanced และ Auro 3D ที่เกริ่นไปในตอนต้นอีกด้วย และผู้เล่นยังสามารถปรับแต่งเสียงได้ตามต้องการด้วยการหาลำโพงที่ชอบมาใช้งานได้อย่างอิสระ จึงทำให้เจ้า AVR+ ลำโพงแยกนั้นเป็นเป้าหมายของใครหลายๆ คนที่อยากเข้ามาสู้โลกของโฮมเธียร์เตอร์อย่างจริงจังนั่นเอง

ซึ่งเมื่อว่ากันถึงระบบเสียง Dolby Atmos หรือ DTS-X แล้ว การเซ็ตอัพลำโพงเสียงเหนือหัวเพื่อเชื่อมต่อกับ AVR นั้นก็มีหลักๆ แบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน

เริ่มจากง่ายสุดคือลำโพง Dolby Atmos Enabled (Upfiring) หรือลำโพงที่จัดวางไว้กับลูกโพงคู่หน้าหรือคู่หลังเพื่อยิงขึ้นเพดานแล้วให้ตกกระทบเสียงเหนือหัวลงมายังตำแหน่งที่รับฟัง ซึ่งลำโพงประเภทนี้จะได้ผลน้อยสุด แต่ก็ได้เปรียบเรื่องราคาและการติดตั้งมากที่สุดเช่นเดียวกัน

ประเภทที่ 2 นั้นจะเป็นลำโพงจำพวก High Elevated หรือลำโพงยกสูงที่นำไปติดตั้งไว้กับผนังเหนือจอภาพ แล้วยิงเสียงลงมายังจุดรับฟัง เพื่อให้เสียงเหนือหัว ซึ่งลำโพงพวกนี้ข้อดีคือให้เสียงที่ดีกว่าลำโพงแบบ Upfiring มากๆ แต่การติดตั้งและการลงทุนก็มีสูงกว่าพอสมควร

ประเภทที่ 3 นั้นคือลำโพงที่แนะนำที่สุดสำหรับคนที่อยากได้คุณภาพ นั่นก็คือ In-Ceiling หรือ On-Ceiling Speaker ซึ่งลำโพงพวกนี้จะนิยมติดฝังไปในฝ้าทำมุมองศากับจุดรับฟังตามที่ Dolby กำหนดไว้ (ในบางเซ็ตอัพก็จะติดลอยเอาไว้บนฝ้า) ซึ่งลำโพงพวกนี้จะมีความวุ่นวายในการติดตั้งมากที่สุด ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมก็อาจจะสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอีกสองประเภทก่อนหน้าด้วย แต่เพื่อผลลัพธ์ของ Atmos หรือ DTS-X ที่ดีที่สุดก็ต้องบอกว่าใครไหวก็น่าลงทุนมากๆ ครับ ส่วนตัวที่บ้านก็ใช้เป็นประเภทนี้เช่นเดียวกัน

แต่ไม่ว่าจะเป็นการเซ็ตอัพลำโพง Atmos แบบใดก็ตามใน 3 แบบบนที่ว่ามานี้ ก็จะถือว่าระบบเรา Qualify หรือรองรับการใช้งานระบบเสียง Dolby Atmos หรือ DTS-X ตามวัตถุประสงค์ที่เราต้องการแล้วล่ะครับ

 

  • (ของแถม) ใช้ HomePod จาก Apple และ Apple TV 4K ในการรับชมคอนเทนต์และจำลองระบบเสียง Dolby Atmos

HomePod Apple TV 4K Atmos

อีกหนึ่งลูกเล่นล่าสุดจาก Apple นั้นคือการปล่อยอัพเดตให้เจ้า HomePod สามารถจำลองระบบเสียง Dolby Atmos ได้หากใช้งานคู่กับ Apple TV 4K ซึ่งเพิ่งปล่อยออกมาเมื่อไม่นานมานี้ โดยจะรองรับเฉพาะกับเจ้า Homepod ตัวใหญ่เท่านั้น สำหรับ Homepod Mini นั้นไม่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นนี้ได้

โดยหากเพื่อนๆ ใช้งาน Apple TV 4K อยู่แล้ว ก็เพียงแค่อัพเดตเป็น tvOS ล่าสุด คือ tvOS14 จากนั้นก็ทำการเชื่อมต่อ Homepod ที่อัพเดตระบบปฏิบัติการเป็น HomePod Software 14.2 แล้วเข้าด้วยกันในโหมด Home Theater โดยจะใช้ Homepod แค่เพียงตัวเดียว หรือ 2 ตัวเชื่อมกันในโหมด Stereo ก็ได้ เจ้า HomePod ของเราก็จะเล่นหนังจาก Apple TV+, iTunes, Netflix และบริการต่างๆ ที่รองรับระบบเสียง Dolby Atmos บน Apple TV 4K ของเรา โดยการจำลองเสียง Dolby Atmos ออกมาให้ได้ค่อนข้างที่จะดีเลยทีเดียว ซึ่งจากที่อเล็กซ์ได้ทดสอบก็ต้องบอกว่าดีพอๆ กับ Sounbar ระบบเสียง Dolby Atmos ชั้นนำหลายๆ ตัวก็ว่าได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Homepod ยังไม่จำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และยังใช้ได้กับ Apple TV 4K เพียงเท่านั้น ไม่สามารถเอาไปใช้กับพวกอุปกรณ์ Media Player อื่นๆ อย่างพวก Dune หรือ Zidoo ได้ ดังนั้นจึงอาจถือเป็นตัวเลือกการเซ็ตอัพระบบเสียง Dolby Atmos ที่ไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่นักสำหรับหลายๆ คน แต่หากใครที่ที่บ้านใช้งาน Apple TV 4K และมี Homepod อยู่แล้ว การลองเซ็ตอัพ Dolby Atmos ด้วยความสามารถใหม่ของ Homepod และ Apple TV 4K นั้นก็ไม่ได้ถือว่าเสียหายอะไร แถมยังมีแต่ได้กับได้สำหรับคนที่อยู่ใน Apple Eco System อยู่แล้วอีกด้วย


สั้นๆ กระชับ ได้ใจความ เซ็ตอัพแบบไหนเหมาะกับใคร ถ้าต้องการะบบ Dolby Atmos และ DTS-X

เขียนมาซะยืดยาวเพื่ออธิบายให้เพื่อนๆ ได้เห็นภาพและเข้าใจว่าการเซ็ตอัพระบบเสียง Dolby Atmos นั้นต้องมีอุปกรณ์อะไร และแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพราะอย่างนั้นผมจึงขอถือโอกาสใช้พื้นที่ตรงนี้สรุปสั้นๆ อีกครั้งกันการสับสนกันสักหน่อยดีกว่า

หากชุดรับชมภาพยนตร์หรือเล่นเกมของเรานั้นมีพื้นที่จำกัด และเป็นพื้นที่ใช้สอยร่วมกับผู้อื่น ไม่ใช่ห้องแยกอิสระสำหรับการเป็น Home Theater โดยเฉพาะ เช่นการใช้ห้องรับแขกเพื่อการดูหนัง การเลือกเซ็ตอัพตระบบเสียงด้วย Soundbar หรือ HomePod น่าจะถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะประหยัดเนื้อที่ ทำให้ห้องดูไม่เกะกะ รวมถึงประหยัดงบประมาณในกระเป๋าด้วย แต่หากอยากไปให้สุด มีพื้นที่ทำห้อง Home Theater แบบเป็นสัดเป็นส่วน สามารถวุ่นวายกับการเดินสายและหาตำแหน่งวางอุปกรณ์ที่เหมาะสมได้ และมีงบประมาณรองรับ การเล่น AVR และจัดเต็มกับลำโพงให้ครบตามหลักก็ควรจะเป็นตัวเลือกที่ต้องพิจารณา เพราะแน่นอนว่ามันย่อมให้ประสบการณ์เสียงที่อิ่มเอมกว่าตัวเลือกแรกอย่าง Soundbar หรือ Homepod อย่างแน่นอน

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ที่กำลังมองหาหรือต้องการทำเซ็ตอัพให้รองรับ Atmos / DTS-X นั้นเริ่มต้นกับการจัดแต่งห้องดูหนังของตัวเองได้ง่าย ไว และเหมาะสมมากยิ่งขึ้นนะครับ ซึ่งหากใครมีข้อแลกเปลี่ยนทางความคิดเห็นอะไร ก็สามารถส่งมาพูดคุยกันได้ผ่านทางแฟนเพจ AppDisqus เลย อเล็กซ์และทีมงานทุกคนรอคุยกับเพื่อนๆ อยู่นะ


นอกจากระบบภาพและเสียงที่ควรจะต้องพิจารณาในการทำห้องโฮมเธียร์เตอร์สักห้องแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่อยากให้ใส่ใจคงหนีไม่พ้นเรื่องของการจัดไฟ การสร้างบรรยากาศ ซึ่ง APPDISQUS เองได้มีการเขียนถึงประเด็นเอาไว้ในรีวิว Philips Hue Sync Box หนึ่งในเรื่องราวน่าสนใจที่อยากให้เพื่อนๆ ได้ลองไปติดตามต่อกันนั่นเอง

hue-spiderman-into-spiderverse

ส่วนรอบหน้านั้นเราจะมาว่ากันถึงเรื่องของแผ่นซับเสียงหรือ Acoustic Panel ว่ามีความสำคัญมากน้อยเพียงใดกับการเซ็ตอัพระบบ Home Theater ของเรา และจะมีแนวทางหรือวิธีการจัดการกับเจ้าแผ่นซับเสียงพวกนี้ได้อย่างไร รวมถึงงบประมาณนั้นจะอยู่ประมาณเท่าไหร่ ติดตาม APPDISQUS เอาไว้เพื่อจะได้ไม่พลาดทุกการอัพเดตสำคัญจากเรา นะครับ

Advertisement
Apple TV Disney Plus Dolby Atmos DTS-X Home Theater How To Living Smart Netflix Streaming Service
Google News YouTube
Share. Facebook Twitter LinkedIn Email Copy Link
Avatar photo
Alex
  • Website
  • Facebook
  • X (Twitter)
  • Instagram

อเล็กซ์ หรือ เอ ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องหยิบเอามือถือหรือ iPad ข้างกายตนมาจับๆ จิ้มๆ ตามประสาคนมีงานแต่ชอบเล่นเกม คุณสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้กำลังใจเอได้เสมอผ่านทางการคอมเมนต์ในบทความนี้

Advertisement
Advertisement
Advertisement

Related Posts

Mobile

Netflix เตรียมเปิดตัวซีรีส์แอนิเมชันจากเกม Clash of Clans!

21 พฤษภาคม 2025
Gaming

Devil May Cry ฉบับ Anime เข้า Netflix แล้ววันนี้!

4 เมษายน 2025
News

Netflix เริ่มสตรีมวิดีโอในรูปแบบ HDR10+ แล้ว! เริ่มจากของ Samsung

25 มีนาคม 2025
Your Updates

Netflix เจอพิษโกง $55 ล้าน ผู้กำกับซื้อรถ-โรงแรมหรู! หนังไม่ได้สร้าง และใช้เงินเพื่อกลับมาฟ้อง Netflix เอง

20 มีนาคม 2025
Apple

NSA เตือนด่วน! ผู้ใช้ iPhone ต้องปิดการตั้งค่าเหล่านี้เพื่อป้องกันแฮกเกอร์

15 กุมภาพันธ์ 2025
Apple TV+ will soon come to Android
Apple

Apple เตรียมปล่อยแอป Apple TV+ บน Android เร็วๆ นี้ เพิ่มช่องทางรับชมคอนเทนต์ระดับพรีเมียม

13 กุมภาพันธ์ 2025
What Score?
8.1
Devices

รีวิว iQOO Neo 10 เกิดมาเพื่อเกมเมอร์ สเปกแรง! จัดเต็มแม็กซ์ 7000mAh

By Noppinij5 มิถุนายน 2025282 Views
7.6
Devices

รีวิว realme C71 สมาร์ตโฟนสุดคุ้ม บางเบา สวยงาม แบตอึดที่สุดในรุ่น

By Noppinij4 มิถุนายน 2025
8.4
Your Updates

รีวิวหัวชาร์จ CUKTECH AD1003 120W ชาร์จเร็วครบ! ทุกเรือธงแบรนด์จีน

By Noppinij14 พฤษภาคม 2025
48
Xbox & PC World

Review : Scarred เกมสยองขวัญจากสิงคโปรที่ยังขาดความน่ากลัว

By Teethasade Isarankura Na Ayudhaya6 พฤษภาคม 2025

On AppDisqus Channel

3 เหตุผลที่คุณไม่ควรพลาดดูงาน Apple WWDC 2025 คืนวันจันทร์นี้

Follow Us
  • Facebook
  • Twitter
  • YouTube
  • TikTok
Latest
Gaming

Sony ปลดล็อกภูมิภาค Steam สำหรับเกม PlayStation ที่พอร์ตลงแล้ว

By Teethasade Isarankura Na Ayudhaya14 มิถุนายน 2025

iOS 26 แปลภาษาสดได้ในสายสนทนา พร้อมทำงานได้แบบออฟไลน์

14 มิถุนายน 2025

iOS 26 ส่องฟีเจอร์ใหม่ที่ Android เคยมีมาก่อนแล้วหลายปี

14 มิถุนายน 2025

แท็บเล็ตเกมมิ่งรุ่นเล็ก Redmi K Pad โผล่บน Geekbench ใช้ชิป Dimensity 9400+ พร้อม Android 15

14 มิถุนายน 2025

ข้อมูล Nothing Phone 3 วันวางจำหน่าย ราคา สเปก และอื่นๆ

13 มิถุนายน 2025
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
Gaming

Sony ปลดล็อกภูมิภาค Steam สำหรับเกม PlayStation ที่พอร์ตลงแล้ว

14 มิถุนายน 2025
Apple

iOS 26 แปลภาษาสดได้ในสายสนทนา พร้อมทำงานได้แบบออฟไลน์

14 มิถุนายน 2025
Android

iOS 26 ส่องฟีเจอร์ใหม่ที่ Android เคยมีมาก่อนแล้วหลายปี

14 มิถุนายน 2025
Android

แท็บเล็ตเกมมิ่งรุ่นเล็ก Redmi K Pad โผล่บน Geekbench ใช้ชิป Dimensity 9400+ พร้อม Android 15

14 มิถุนายน 2025
แอพดิสคัส
Facebook X (Twitter) Instagram YouTube TikTok
  • Home
  • ติดต่อโฆษณา
  • Cookies Policy & Settings
© 2025 APPDISQUS.COM APPDISQUS : A Source You Can Trust.

Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ ดูเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าคุกกี้อนุญาตทั้งหมด
ตั้งค่าความยินยอม

Privacy Overview

AppDisqus.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานในขณะที่คุณกำลังอ่านและรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ โดยในบรรดาคุกกี้เหล่านี้ คุกกี้ประเภทข้อมูลที่จำเป็นนั้นจะถูกจัดเก็บเอาไว้บนอุปกรณ์ส่วนตัวของคุณเองที่ใช้สำหรับการเข้าชมเว็บไซต์เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าคุกกี้เหล่านี้เป็นคุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ นอกจากนี้เรายังใช้คุกกี้บุคคลที่สามเพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์และเข้าใจการใช้งานเว็บไซต์ AppDisqus.com ของคุณมากยิ่งขึ้น โดยคุกกี้เหล่านี้จะถูกจัดเก็บเอาไว้บนอุปกรณ์ของคุณเท่านั้น และจะจัดเก็บได้ก็ต่อเมื่อคุณได้การอนุญาต ทั้งนี้คุณสามารถจัดการกับการตั้งค่าคุกกี้ของคุณได้เสมอผ่านทางเมนูการตั้งค่านี้

อย่างไรก็ตาม การปิดการใช้งานคุกกี้บางประเภทอาจทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลต่อประสบการณ์การใช้งานของคุณได้
ข้อมูลจำเป็น
Always Enabled
คุกกี้บางประเภทนั้นจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้งานเพื่อทำให้เว็บไซต์สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ครบฟังก์ชั่นกับผู้ใช้งานได้ โดยคุกกี้ประเภทนี้จะช่วยให้เราคงเซ็สชั่นการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเอาไว้ ตลอดจนป้องกันสิ่งต่างๆ ที่มีผลต่อความปลอดภัยในการใช้งานเว็บไซต์ AppDisqus.com ทั้งนี้ คุกกี้ประเภทนี้จะไม่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น คุกกี้ประเภทนี้จะใช้เพื่อให้คุณสามารถเข้าสู่ระบบและคงสถานะการเข้าระบบของคุณบนเว็บเว็บไซต์เราเอาไว้ได้นั่นเอง
CookieDurationDescription
AWSALBCORS7 daysAmazon Web Services ใข้คุกกี้นี้เพื่อเป็นการใช้งานฟังก์ชั่น load balancing หรือการกระจายโหลดเซิร์ฟเวอร์
cf_use_obpastCloudflare ใช้คุกกี้นี้เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพความรวดเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ เพื่อประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชม
cookielawinfo-checkbox-analytics11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "ข้อมูลสถิติ"
cookielawinfo-checkbox-functional11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "ฟังก์ชั่นการทำงาน"
cookielawinfo-checkbox-necessary11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "จำเป็น"
cookielawinfo-checkbox-others11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "อื่นๆ"
cookielawinfo-checkbox-performance11 monthsคุกกี้นี้จัดเก็บความยินยอมของผู้ใช้งานให้กับคุกกี้ในหมวดประเภท "ประสิทธิภาพ"
JSESSIONIDsessionคุกกี้ JSESSIONID ถูกใช้โดย New Relic เพื่อเป็นการเก็บไอดีจำเพราะในการเข้าใช้งานของผู้ใช้งานเพื่อให้ New Relic สามารถติดตามและตรวจนับเซ็ตชั่นการเข้าใช้งานเว็บไซต์ได้
viewed_cookie_policy11 monthsคุกกี้นี้ใช้เพื่อเป็นการเก็บความยินยอมในการอนุญาตให้จัดเก็บและใช้งานคุกกี้ของผู้ใช้งาน โดยไม่มีการจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวใดๆ ของผู้ใช้งานแม้แต่น้อย
ข้อมูลเพื่อฟังก์ชั่นการทำงาน
คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลเพื่อฟังก์ชั่นการทำงานที่อาจไม่ได้จำเป็นที่สุดบนหน้าเว็บไซต์ AppDisqus.com ยกตัวอย่างเช่นฟังก์ชั่นการฝังสื่อประเภทวิดีโอและปุ่มการแชร์บทความไปยังโซเชียลมีเดียต่างๆ บนเว็บไซต์เป็นต้น
ข้อมูลประสิทธิภาพ
คุกกี้ประสิทธิภาพใช้เพื่อวิเคราะห์ความเข้าใจในประสบการณ์การทำงานของเว็บไซต์ต่อผู้ใช้งาน เพื่อให้เราสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลสถิติ
คุกกี้ประเภทนี้จะจัดเก็บข้อมูลประเภทสถิติ เช่นตัวเลขผู้เข้าชมเว็บไซต์ ตัวเลข UIP หรือผู้ใช้งานที่นับต่อ IP ข้อมูลหน้าเว็บไซต์ที่ถูกเข้าถึงบ่อยที่สุด ข้อมูลแหล่งที่มาของการเข้าถึง และอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน โดยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์เราได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนชี้ให้เห็นว่าเราควรปรับปรุงในเรื่องใดเพื่อประสบการณ์ที่ดีขึ้นของผู้ใช้งาน
CookieDurationDescription
_ga_CE4TLMWX4S2 yearsคุกกี้ถูกติดตั้งโดย Google Analytics เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
_gid1 dayติดตั้งโดย Google Analytics โดย คุกกี้ _gid นี้ใช้สำหรับการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของผู้เข้าชม ในขณะเดียวกันก็ยังใช้ในการจัดทำสถิติสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพของเว็บไซต์ด้วย โดยข้อมูลที่เก็บนั้นยกตัวอย่างเช่นจำนวนผู้เข้าชม แหล่งที่มา และหน้าที่ผู้เข้าชมเปิดอ่านโดยไม่เปิดเผยตัวตนของผู้เข้าชม
ข้อมูลเพื่อการโฆษณา
คุกกี้ประเภทโฆษณาจะช่วยให้เราสามารถเผยแพร่โฆษณาที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้เข้าชมเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น โดยคุกกี้ประเภทนี้จะติดตามการใช้งานในเว็บไซต์ AppDisqus เท่านั้นเพื่อการเผยแพร่โฆษณาได้อย่างตรงความต้องการของผู้ใช้งานต่อไป
CookieDurationDescription
IDE1 year 24 daysคุกกี้จาก Google DoubleClick IDE นี้ติดตั้งโดย Google เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อกำหนดมาตรฐานในการเลือกโฆษณาที่ตรงความต้องการของผู้ใช้งานมาแสดงบนหน้าเว็บไซต์
test_cookie15 minutesคุกกี้นี้ถูกติดตั้งโดย Doubleclick.net (Google) เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าบราวเซอร์ที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ใช้งานอยู่รองรับคุกกี้หรือไม่
VISITOR_INFO1_LIVE5 months 27 daysคุกกี้นี้ถูกใช้งานโดย Youtube เพื่อตรวจสอบแบนด์วิดธ์ที่ผู้ใช้งานใช้ในการเปิดดูวิดีโอ เพื่อเป็นการระบุเวอร์ชั่นของตัวเล่นวิดีโอว่าเป็นเวอร์ชั่นใหม่หรือเก่า
YSCsessionคุกกี้ YSC ถูกติดตั้งและใช้งานโดย Youtube โดยใช้เพื่อเป็นการดึงเอาข้อมูลวิดีโอจากเว็บไซต์ Youtube ขึ้นมาแสดงในหน้าที่ดึงเอาวิดีโอนั้นๆ มาแสดง
yt-remote-connected-devicesneverYoutube ติดตั้งคุกกี้นี้เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลการตั้งค่าการเล่นวิดีโอของ Youtube บนเว็บไซต์นี้เพื่อใช้ในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
yt-remote-device-idneverYoutube ติดตั้งคุกกี้นี้เพื่อเป็นการเก็บข้อมูลการตั้งค่าการเล่นวิดีโอของ Youtube บนเว็บไซต์นี้เพื่อใช้ในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
yt.innertube::nextIdneverคุกกี้จาก Youtube ประเภทนี้ใช้สำหรับการสร้างเลขไอดีจำเพาะเพื่อเก็บข้อมูลของวิดีโอที่ผู้เข้าชมเพิ่งรับชมไปในเว็บไซต์นี้
yt.innertube::requestsneverคุกกี้จาก Youtube ประเภทนี้ใช้สำหรับการสร้างเลขไอดีจำเพาะเพื่อเก็บข้อมูลของวิดีโอที่ผู้เข้าชมเพิ่งรับชมไปในเว็บไซต์นี้
ข้อมูลอื่นๆ
คุกกี้ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ได้มีการระบุหมวดหมู่ประเภทเอาไว้ แต่อาจมีผลต่อประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์
SAVE & ACCEPT
Powered by CookieYes Logo