กทม. ร่วมกับ Google เดินหน้าใช้ AI วิเคราะห์การจราจรจาก Google Maps เพื่อปรับเวลาสัญญาณไฟเขียว–ไฟแดงในแยกที่รถติดหนัก หวังช่วยให้รถไหลลื่น ลดการจอดแช่ และยังลดมลพิษไปพร้อมกัน
กรุงเทพฯ ขยับอีกก้าวสู่เมืองอัจฉริยะ เมื่อ กรุงเทพมหานคร จับมือกับ Google ประเทศไทย เริ่มโครงการ Project Green Light ตั้งแต่กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเอา AI เข้ามาช่วยจัดการสัญญาณไฟจราจรตามแยกต่างๆ ที่มีรถติดเป็นประจำ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลการขับขี่จาก Google Maps แล้วให้คำแนะนำว่าจะควร “เร่ง–หน่วงไฟเขียว” ยังไงในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้รถวิ่งได้ต่อเนื่องมากที่สุด ลดการหยุดนิ่ง และช่วยประหยัดพลังงานไปในตัว
กรุงเทพฯ เป็น 1 ใน 18 เมืองทั่วโลกที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ และเริ่มนำร่องตามแยกใหญ่หลายจุดแล้วในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือ “ลดรถติด–ลดมลพิษ–เพิ่มความลื่นไหล” ให้กับชีวิตคนกรุง
AI ปรับไฟจราจรแบบเรียลไทม์ ไม่ต้องยึดตารางเดิมๆ
ที่ผ่านมา แยกไฟแดงในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังใช้ระบบ “Fixed Time” คือการตั้งเวลาไฟเขียว–ไฟแดงไว้ตายตัว ไม่สนใจว่าชั่วโมงนั้นรถเยอะหรือโล่ง ซึ่งหลายครั้งทำให้เสียเวลาทั้งฝั่งที่รถติดและฝั่งที่โล่งจนน่าเสียดาย
โครงการ Project Green Light จึงเข้ามาช่วยปรับจังหวะเหล่านี้ให้ “ฉลาด” ขึ้น โดยใช้ข้อมูลจาก Google Maps เช่น ความเร็วรถ ปริมาณการจราจร และพฤติกรรมการขับขี่ในแต่ละช่วงเวลา ระบบจะวิเคราะห์แล้วแนะนำว่า ไฟเขียวควรนานขึ้นอีกกี่วินาที หรือควรเปลี่ยนจังหวะให้เร็วขึ้นไหม ซึ่งข้อเสนอพวกนี้จะถูกส่งให้ทีมวิศวกรของ กทม. พิจารณา แล้วนำไปปรับใช้ในสถานการณ์จริงต่อไป
ผลลัพธ์เริ่มเห็นชัด: รถติดน้อยลง มลพิษลดลง
จากข้อมูลทั่วโลกที่ Google เคยทดลอง ระบบนี้ช่วยให้รถ “หยุดรอไฟ” น้อยลงถึง 30% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปได้ 10% ซึ่งนั่นแปลว่า ทั้งรถไหลลื่นขึ้น และอากาศในเมืองก็ดีขึ้นด้วย
ศารณีย์ บุญฤทธิ์ธงไชย จาก Google ประเทศไทย บอกว่า “ผลลัพธ์ในกรุงเทพฯ ก็น่าพอใจมาก และหวังว่าจะได้ขยายโครงการนี้ไปยังแยกอื่นๆ อีกในอนาคต”
ด้าน ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ก็ย้ำว่า กทม. ตั้งใจใช้เทคโนโลยีช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมือง และ AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหารถติด ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี ที่เขาผลักดันอยู่
ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ โลกก็กำลังปรับเหมือนกัน
ตอนนี้ Project Green Light ถูกใช้งานใน 18 เมืองทั่วโลก ครอบคลุม 4 ทวีป ทั้งที่ ฮัมบูร์ก, บังกาลอร์, ไฮฟา ไปจนถึงกรุงเทพฯ และมีการประเมินว่าแค่จุดตัดแยกเหล่านี้สามารถช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 30 ล้านเที่ยวต่อเดือน
นี่คือตัวอย่างของการใช้ AI แบบง่ายๆ ที่ไม่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ แต่ใช้ “ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว” มาวิเคราะห์ให้ฉลาดขึ้น แถมยังใช้งานร่วมกับมนุษย์จริงๆ ได้เลย ไม่ต้องรอระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
โครงการนี้ไม่ได้เปลี่ยนกรุงเทพฯ ชั่วข้ามคืน แต่คือก้าวเล็กๆ ที่สำคัญมาก โดยเฉพาะการจัดการกับ “จุดติด” ที่คนกรุงต้องเจอทุกวัน และหากสามารถขยายไปทั่วเมืองได้ในอนาคต เราอาจได้เห็นกรุงเทพฯ ที่รถไม่ต้องหยุดทุกไฟ และอากาศที่หายใจได้สะดวกขึ้นกว่าเดิม