vivo เปิดตัว X300 และ X300 Pro อย่างเป็นทางการในจีน นับเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ในตลาดเรือธงปี 2025 ด้วยสเปกที่เน้นประสิทธิภาพ กล้องระดับโปร และระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะระหว่าง Android กับ Apple ที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
vivo X300 Series สองรุ่น เรือธงขุมพลัง Dimensity 9500
ทั้ง vivo X300 และ X300 Pro ใช้ชิป MediaTek Dimensity 9500 ร่วมกับชิปประมวลผลภาพ V3+ ที่ vivo พัฒนาเอง มาพร้อมระบบปฏิบัติการ OriginOS 6 (Android 16) ที่เน้นประสิทธิภาพ ความลื่นไหล และการประมวลผลด้านภาพระดับมืออาชีพ
กล้อง Zeiss ระดับเรือธง
-
vivo X300 ใช้กล้องหลัก 200MP (Samsung ISOCELL HPB, เซนเซอร์ 1/1.4 นิ้ว, เคลือบเลนส์ T*)
พร้อมกล้อง Ultra Wide 50MP (ISOCELL JN1) และกล้อง Telephoto 50MP (Sony LYT-602, ซูมออปติคัล 3x)
กล้องหน้า 50MP รองรับออโต้โฟกัส พร้อมระบบ Zeiss Natural Color และวิดีโอพอร์ตเทรต 4K 60FPS
-
vivo X300 Pro ขยับขึ้นอีกระดับด้วยกล้อง 200MP Periscope Telephoto (Samsung HPB, 1/1.4 นิ้ว)
จับคู่กับกล้องหลัก Sony LYT-828 (50MP, f/1.57, 24mm) และ Ultra Wide 50MP JN1
มาพร้อมระบบประมวลผลคู่ V3+ และ VS1 สำหรับการประมวลผลภาพก่อนและหลังถ่ายแบบมืออาชีพ
หน้าจอและดีไซน์ระดับพรีเมียม
X300 มาพร้อมจอ BOE Q10 Plus LTPO AMOLED ขนาด 6.31 นิ้ว ขอบบางเพียง 1.05 มม.
ส่วน X300 Pro ใช้จอ LTPO AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 1,260 × 2,800 พิกเซล รีเฟรชเรต 120Hz
ตัวเครื่อง X300 หนาเพียง 7.95 มม. หนัก 190 กรัม
ส่วนรุ่น Pro หนัก 226 กรัม มาพร้อมแบตเตอรี่ 6,510 mAh (90W/40W)
ในขณะที่รุ่นปกติใช้แบต 6,040 mAh รองรับชาร์จเร็ว 90W
เชื่อมต่อข้ามระบบ Android–Apple ครั้งแรก
นี่เป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่สุดของ vivo X300 Series คือการเปิดตัวระบบ Cross-Device Ecosystem ที่ถือเป็นครั้งแรกของสมาร์ตโฟน Android ที่สามารถเชื่อมต่อและซิงก์ข้อมูลกับอุปกรณ์ในระบบนิเวศของ Apple ได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Mac, Apple Watch และ AirPods โดยไม่มีการติดข้อจำกัดระหว่างระบบ
ฟีเจอร์นี้เริ่มต้นจากการทำงานร่วมกับ iPhone ที่สามารถรับสาย โทรออก อ่านและตอบข้อความ รวมถึงแสดงการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์จากเครื่อง iPhone บน vivo X300 ได้โดยตรง เหมาะกับผู้ใช้ที่ถือทั้งสองเครื่องหรือมีอุปกรณ์ต่างระบบในชีวิตประจำวัน
ถัดมาคือการเชื่อมต่อกับ iPad และ Mac ซึ่ง vivo ออกแบบให้สามารถซิงก์ปฏิทิน แชร์ไฟล์ หรือแม้แต่ใช้ฟังก์ชันคัดลอก–วาง (Clipboard Sharing) และ Mirror Screen ระหว่าง vivo กับ Mac ได้ทันทีโดยไม่ต้องลงแอปเสริมใด ๆ เป็นการย่นระยะระหว่าง Android กับ macOS อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ส่วนผู้ใช้สายสุขภาพก็ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะระบบยังสามารถซิงก์ข้อมูลจาก Apple Watch ทั้งการนับก้าว อัตราการเต้นของหัวใจ และข้อมูลการออกกำลังกาย ไปยัง vivo Health ได้โดยตรง พร้อมแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านแดชบอร์ดสุขภาพของ vivo
ในฝั่งของ AirPods ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ และตำแหน่งของหูฟังผ่าน vivo X300 ได้ทันที รวมถึงแสดงป็อปอัปการเชื่อมต่อคล้ายกับในระบบ iOS ช่วยให้การใช้งานข้ามระบบเป็นไปอย่างลื่นไหลและธรรมชาติ
ทั้งหมดนี้คือก้าวสำคัญของ vivo ในการทำลาย “กำแพงระบบนิเวศ” ที่เคยแยก Android และ Apple ออกจากกัน โดยฟีเจอร์ดังกล่าวเริ่มใช้งานได้แล้วในจีน (ต้องใช้ Apple ID ที่จดทะเบียนในประเทศ) และมีแนวโน้มสูงว่าจะขยายสู่ตลาดโลกในอนาคตอันใกล้
ภาพจาก @Alvin
ราคาและวันวางจำหน่าย
-
vivo X300: เริ่มต้นที่ 4,399 หยวน (ประมาณ 20,900 บาท) สำหรับรุ่น 12GB+256GB
รุ่นท็อป 16GB+1TB ราคา 5,799 หยวน (ประมาณ 27,600 บาท)
สี Fortune Pink และ Graphite Black -
vivo X300 Pro: เริ่มต้นที่ 5,299 หยวน (ประมาณ 25,000 บาท)
สูงสุดที่ 6,699 หยวน (ประมาณ 31,600 บาท) สำหรับรุ่น 16GB+1TB
รุ่นพิเศษที่รองรับการสื่อสารผ่านดาวเทียมพร้อม Photographer Kit ราคา 8,299 หยวน (ประมาณ 39,000 บาท)
ทั้งคู่จะวางจำหน่ายในจีนวันที่ 17 ตุลาคม และมีแผนเปิดตัวสู่ตลาดโลกช่วง พฤศจิกายน 2025