แม้ CD Projekt RED จะกำลังพัฒนา The Witcher 4 ด้วย Unreal Engine 5.6 อยู่ แต่ทางสตูดิโอก็ได้กล่าวว่า การร่วมงานกับเอนจินนี้ช่วยให้พวกเขาผลักดันเทคโนโลยีการสร้างเกมโลกเปิดให้ก้าวหน้าอย่างแท้จริง
ในการให้สัมภาษณ์กับ GamesRadar ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมของโปรเจกต์ Jan Hermanowicz กล่าวว่าถึงแม้ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงอนาคตของแฟรนไชส์นี้โดยละเอียด แต่การเปลี่ยนมาใช้ Unreal Engine 5.6 นั้นช่วยทีมงานอย่างมาก ด้วยเครื่องมือใหม่มากมายที่เอื้อต่อการสร้างเกมอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
“เอนจินนี้ช่วยให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น และเหมาะกับรูปแบบเกมที่สตูดิโอทำอยู่ ส่งผลให้กระบวนการพัฒนาเกมทั้งหมดราบรื่นยิ่งขึ้น ตอนนี้เรามีหลายโปรเจกต์ที่กำลังดำเนินงานอยู่เช่น Cyberpunk 2077 ภาคต่อ (ชื่อโปรเจกต์ Orion) ซึ่งเพิ่งเข้าสู่ขั้นตอน pre-production การพัฒนาเครื่องมือเหล่านี้สำหรับเกมโลกเปิด ไม่เพียงแต่ช่วย The Witcher 4 เท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์กับทุกโปรเจกต์ในอนาคตของสตูดิโอด้วย”
Advertisement Advertisement Advertisement
โดยเขายกตัวอย่างว่า The Witcher 4 นั้นเป็นเหมือน “ยานแม่” สำหรับทดสอบเทคโนโลยีที่หลังจากนั้นจะสามารถนำไปใช้กับเกมอื่นได้ ก่อนหน้านี้ในเดือนเดียวกัน Hermanowicz ยังกล่าวว่า ทีมได้ใช้เมือง Novigrad จาก The Witcher 3 เป็นตัวอย่างในการออกแบบเมืองที่หนาแน่นขึ้นในภาคใหม่ โดยอ้างอิงทั้งจุดแข็งและข้อจำกัดของเกมเดิม
ด้าน Julius Girbig แอนิเมเตอร์เทคนิคอาวุโสของเกม ก็ได้กล่าวชื่นชม Unreal Engine 5.6 ว่าเครื่องมือใหม่ที่เขาได้ใช้งานทำให้สามารถสร้างและปรับแต่งตัวละครนับร้อยโดยไม่ต้องแตะโค้ดเลย
“มันปลดล็อกผมในฐานะศิลปินอย่างแท้จริง” ตอนนี้เอนจินนี้ช่วยให้ผมสามารถคิดและสร้างสรรค์สิ่งที่ใหญ่ขึ้นได้ อย่างการใช้ Nanite Foliage เพื่อสร้างป่าอันกว้างใหญ่ หรืออะไรก็ตามที่จินตนาการของคุณนึกถึง และสิ่งเหล่านี้จะพร้อมให้ทุกคนได้ใช้เช่นกัน”