Samsung เร่งผลิต Galaxy Z Fold 7 และ Z Flip 7 ส่งตลาดสหรัฐฯ หลบภาษีนำเข้า
Samsung ปรับแผนการผลิตมือถือพับรุ่นใหม่ เพิ่มการผลิตสำหรับตลาดสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีศุลกากร
ล่าสุด Samsung ได้ปรับแผนการผลิตสมาร์ทโฟนพับรุ่นใหม่ Galaxy Z Fold 7 และ Galaxy Z Flip 7 โดยเน้นเร่งผลิตเครื่องที่จะส่งไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาให้เร็วที่สุด เพื่อลดความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีศุลกากร
ในบทความนี้
เพิ่มการผลิตสำหรับสหรัฐฯ 50%
ตามรายงานจากสื่อเกาหลี หลังจากการประชุมกลยุทธ์ระดับโลกเมื่อเร็วๆ นี้ Samsung ตัดสินใจเพิ่มการผลิตมือถือพับรุ่นใหม่สำหรับตลาดสหรัฐฯ จาก 400,000 เครื่อง เป็น 600,000 เครื่อง
วัตถุประสงค์หลักคือการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่อาจสูงถึง 25% หรือมากกว่า
ปรับลดแผนการผลิตรวม
แม้จะเพิ่มการผลิตสำหรับสหรัฐฯ แต่ Samsung กลับลดแผนการผลิตโดยรวมลง เนื่องจากคาดการณ์ว่าการเติบโตในตลาดมือถือพับจะชะลอตัว
จากแผนเดิมที่วางไว้ผลิต 1.34 ล้านเครื่องในเดือนมิถุนายน ปัจจุบันปรับลดเหลือ 930,000 เครื่อง แบ่งเป็น:
- Galaxy Z Fold 7: 440,000 เครื่อง
- Galaxy Z Flip 7: 350,000 เครื่อง
- Galaxy Z Flip 7 FE: 140,000 เครื่อง
กลยุทธ์การผลิตแบบระวัง
Samsung จะใช้แนวทางระมัดระวังในการผลิต โดยอาจเพิ่มการผลิตในเดือนกรกฎาคมหากมีการตอบรับที่ดีจากตลาดหลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์
คาดว่าการผลิตจะถึงจุดสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ก่อนจะค่อยๆ ลดลงในเดือนสิงหาคมและเดือนถัดๆ ไป เมื่อบริษัทตอบสนองความต้องการเริ่มแรกของตลาดได้แล้ว
ผลกระทบต่อตลาดโลก
การตัดสินใจของ Samsung อาจส่งผลต่อราคาและความพร้อมของผลิตภัณฑ์ในตลาดต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับลดการผลิตโดยรวม เพราะตลาดเอเชียอาจถูกจัดลำดับความสำคัญลดลง ในช่วงไตรมาสแรกหลังการเปิดตัว Samsung อาจเลือกส่งสินค้าเข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
รวมถึงความไม่แน่นอนด้านการค้าโลกอาจทำให้การลงทุนใหม่ในเอเชียชะลอตัว โดยเฉพาะหากผู้ผลิตรายใหญ่ต้องการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ปลอดภาษีมากกว่า ซึ่งอาจไม่ใช่ประเทศในเอเชียเสมอไป เช่น อินเดียหรือเม็กซิโก ในระยะยาวอาจจะยิ่งทำให้การจัดส่งสินค้ามาขายยังเอเซียมีความล่าช้ามากขึ้น
กล่าวโดยรวม นี่คือการเคลื่อนไหวแบบ “ป้องกันล่วงหน้า” ของ Samsung ต่อแรงสั่นสะเทือนจากนโยบายเศรษฐกิจโลกที่ไม่ได้ส่งผลต่อบริษัทเดียวหรือประเทศเดียว แต่จะกระเพื่อมไปถึง ห่วงโซ่การผลิตและตลาดสมาร์ตโฟนทั่วทั้งเอเชีย โดยจะเริ่มในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้อย่างแน่นอน