vivo X300 Series กล้องเทพ ZEISS ซูมไกล 200MP พร้อม Dimensity 9500
vivo X300 Series เป็นสมาร์ตโฟนที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง ตั้งแต่การถือจับ วัสดุระดับพรีเมียม ไปจนถึงระบบกล้องที่พัฒนามาให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้น โดยเฉพาะกล้องเทเลโฟโต้ระดับ 200MP ของรุ่น X300 Pro ที่ให้คุณภาพใกล้เคียงกล้องโปรมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งระยะซูม ความคม และโหมดถ่ายภาพที่หลากหลาย ส่วนรุ่น X300 ก็ยังคงเด่นในด้านความคล่องตัว ความเบา และการให้ฟีเจอร์กล้องครบชุดไม่ต่างจากรุ่นพี่
ในด้านประสิทธิภาพ ทั้งสองรุ่นขับเคลื่อนด้วยชิป Dimensity 9500 ที่มีพลังมากพอสำหรับงานทุกอย่าง ความบันเทิงและการใช้งานหนักใดๆ ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ระบบนิ่ง พร้อม OriginOS 6 ที่ปรับดีไซน์มาใหม่หมด ตอบสนองให้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ และยังมีความสวยงามที่มาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ๆ ให้ปรับแต่งตามสไตล์บุคคลซึ่งใส่เอาไว้เยอะมาก รับรองใช้งานได้ถูกใจและสนุกกันแน่นอน
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ร่วมกับระบบชาร์จไว และยังออกแบบให้มีความทนทานสูงในการใช้งานระยะยาว ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมอัลลอยด์ มาตรฐาน IP68&IP69 เพิ่มความมั่นใจในการใช้งานได้แบบเต็มที่ในชีวิตประจำวัน
เมื่อมองโดยรวม X300 Series เป็นสมาร์ตโฟนที่เน้นความเป็นที่สุดของดีไซน์ กล้อง ความทนทาน และประสิทธิภาพ ทุกอย่างครบและอยู่บนมาตรฐานระดับไฮเอนทั้งหมด
และหากคุณต้องการเครื่องที่ทรงประสิทธิภาพ พร้อมกล้องถ่ายภาพที่รองรับได้ครบทุกสถานการณ์ ตอบสนองต่อการใช้งานในระดับดีที่สุด รุ่น Pro คือคำตอบที่ชัดเจน ส่วนผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องขนาดกะทัดรัดแต่ยังคงศักยภาพความแรง และกล้องเต็มระบบ รุ่น X300 จะเหมาะสมที่สุด
รวมถึงการนำเข้าอุปกรณ์เสริมเช่นชุดเลนส์ vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender และชุดกริปจับ ไม่ใช่ของทำมาโชว์เล่นๆ แต่ทำมาในระดับคุณภาพสูง เพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายภาพของสมาร์ตโฟนสองรุ่นนี้มากขึ้นไปอีก ต่อยอดประโยชน์ให้กับคนที่ต้องใช้การถ่ายภาพระยะไกล ไม่ว่าจะใช้ทำงานหรือใช้ในการท่องเที่ยว ยอดเยี่ยมและคุ้มค่าในทุกๆ ชิ้นแน่นอนครับ
จุดเด่น
- ดีไซน์พรีเมียม วัสดุดี งานประกอบเนี๊ยบมาก
- หน้าจอคุณภาพสูง ใช้งานกลางแจ้งดีเยี่ยม
- กล้องหลัก–เทเล–อัลตร้าไวด์ให้ความละเอียดสูง พร้อมชุด ZEISS เต็มระบบ
- ประสิทธิภาพการซูมดีมาก รายละเอียดยังคมแม้ซูม 10–30x
- Telephoto Macro ซูมระยะใกล้ไกลได้จริงแบบไม่ต้องจ่อวัตถุ
- ระบบ AI ถ่ายภาพขั้นสูง เช่น Stage Mode 2.0, Weather Filters, AI Multi-Crop
- ชิป Dimensity 9500 แรง ลื่น ระบายความร้อนดี ไม่เร่งร้อนง่าย
- แบตอึดมาก BlueVolt ใช้งานได้ทั้งวัน แม้สเปกแรง
- รองรับ 90W FlashCharge + 40W Wireless FlashCharge
- มี Bypass Charging ลดร้อน ช่วยยืดอายุแบต
- ลำโพงคู่เสียงดังชัด รองรับ Dolby Vision (รุ่น Pro)
- OriginOS 6 ลื่น ไหล เบา พร้อมฟีเจอร์ทำงานร่วม PC/Mac
- อุปกรณ์เสริมระดับโปร เช่น ZEISS 2.35x Extender และกริปชัตเตอร์
ต้องปรับปรุง
- ไม่มีช่อง MicroSD เพิ่มความจุไม่ได้
- โหมดกล้องเยอะมาก ผู้ใช้ใหม่อาจต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ
-
ความคุ้มค่าต่อราคา
-
ประสิทธิภาพ
-
วัสดุและการประกอบ
-
กล้องถ่ายรูป
-
ฟังก์ชันและประโยชน์ในการใช้งาน
vivo X300 Series เป็นรุ่นที่มาพร้อมแนวคิดชัดเจนว่าต้องการยกระดับประสบการณ์กล้องและการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากกว่าตัวเลขบนสเปกชีต โดยทั้ง vivo X300 และ vivo X300 Pro แม้หน้าตาจะดูคล้ายกับ X200 Series แต่แทบทุกส่วนถูกออกแบบใหม่ โมดูลกล้องหลังที่ตัดขอบกะทัดรัด ลดขนาดแต่ทรงพลังมากขึ้น การผลิตและออกแบบในสไตล์ Unibody 3D ที่เน้นความเนียนตาและจับถนัดมือ ไปจนถึงการติดตั้งระบบกล้อง ZEISS รุ่นล่าสุดที่ให้ความละเอียดสูงสุด 200MP ซึ่งกลายเป็นจุดเด่นของซีรีส์นี้นั่นเองครับ
ในบทความนี้ ผมจะพาไปดูแบบลงลึกว่าทั้งสองรุ่นมีความแตกต่างกันตรงไหน ฟีเจอร์ใดที่ถูกผลักดันขึ้นมาเป็นจุดแข็ง และประสบการณ์ใช้งานที่ vivo ตั้งใจออกแบบให้ออกมาครบในทุกมุม—ตั้งแต่การซูมภาพ การถ่ายภาพทั้งกลางวันกลางคืน การถ่ายภาพบุคคลและโหมดการทำงานใหม่ๆ รวมไปจนถึงเรื่องจอ แบตเตอรี่ และ OriginOS 6 ที่มากับ Android 16 ตั้งแต่แกะกล่อง
ถ้าคุณกำลังมองหาสมาร์ตโฟนที่ครบและเน้นความสามารถระดับสูงเป็นพิเศษ สามารถทำงานด้านภาพได้ในระดับที่ดีที่สุด การเจาะลึก X300 ทั้งสองรุ่นต่อจากนี้ น่าจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ
ในบทความนี้
ตัวเครื่อง ดีไซน์ และงานประกอบ vivo X300
เริ่มจากรุ่น vivo X300 ตัวนี้มาในแนวคิด “ขนาดเล็ก ใช้งานง่าย” ด้วยหน้าจอคอมแพกต์ขนาด 6.31 นิ้ว ทำให้เหมาะกับการจับมือเดียวได้คล่องตัวอย่างแท้จริง ตัวเครื่องบางเพียง 7.95 มม. และน้ำหนักเบาเพียง 190 กรัม จุดนี้ช่วยให้เวลาถือใช้นาน ๆ รู้สึกสบายมือกว่าเดิม
vivo X300 เลือกใช้โทนสีตัวเครื่องที่ดูโดดเด่น เพื่อสื่อถึงบุคลิกผู้ใช้ได้ชัดเจนกว่า เริ่มจากสี Halo Pink ที่เป็นชมพูประกายแบบฮาโล ให้ความสดใส ดูมีเสน่ห์มากครับ และช่วยขับลุคแฟชั่นได้ดี เหมาะกับคนที่ต้องการสีที่สะดุดตาแบบมีความนุ่มนวล
วงแหวนรอบโมดูลกล้องใส่สีรุ้งไล่เฉดเอาไว้ แอบหวาน แอบน่ารักดีทีเดียว ยิ่งโดนแสงมากระทบยิ่งเห็นชัด
และสีที่สองคือ Iris Purple ได้แรงบันดาลใจจากเฉดสีของดอกไอริส ให้ภาพลักษณ์โดดเด่นแต่เป็นธรรมชาติ และสุดท้ายคือสี Phantom Black ให้โทนความหรูและความเรียบ แต่พื้นผิวดูพรีเมียมและการออกแบบมีความละเอียดประณีต จึงไม่ใช่สีดำธรรมดา
งานออกแบบใช้เทคโนโลยี Unibody 3D ทำให้พื้นที่ฝาหลังและโมดูลกล้องเชื่อมต่อเป็นผิวเดียวกัน ดูเรียบร้อย ลดความนูนของโมดูลได้ดี เหมือนตัวกล้องฝังลงไปอยู่ในฝาหลัง
ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมอัลลอยด์ขึ้นรูปชิ้นเดียว แข็งแกร่ง ส่วนพื้นผิวฝาหลังใช้ Coral Velvet Glass ให้สัมผัสเนียนนุ่มและลดรอยนิ้วมือได้ดี
ในด้านความทนทาน X300 ให้มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่นระดับ IP68&IP69 และเลือกใช้กระจกแบบ Reinforced Glass ที่ผ่านการทดสอบการตกกระแทกบนพื้นผิวขรุขระ ทนทานตามมาตรฐาน vivo กำหนดมาเรียบร้อย แบรนด์นี้ด้านความทนหายห่วงครับ ผลิตมาเนี้ยบทุกรุ่น
vivo X300 มาพร้อมหน้าจอขนาด 6.31 นิ้ว นี่เป็นจุดเด่นเลยสำหรับคนที่ต้องการเครื่องกะทัดรัด แต่ยังให้คุณภาพการแสดงผลระดับสูง หน้าจอใช้พาเนล Q10 Plus (BOE) ความละเอียด 1216 × 2640 พิกเซล 460PPI ทำให้ภาพคมและรายละเอียดชัด แม้ในตัวอักษรขนาดเล็กก็ยังอ่านง่าย รองรับอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz ขอบหน้าจอบางเฉียบแบบสมมาตร บางเพียง 1.05 มม. เท่านั้น! บางจนแทบจะไร้ขอบ เหมือนทั้งด้านหน้าตัวเครื่องคือหน้าจอทั้งหมด
รองรับการสแกนนิ้วบนหน้าจอแบบ Ultrasonic สแกนได้แม้หน้าจอมีหยดน้ำหรือนิ้วเปียกชื้น ด้านความสว่าง รุ่นนี้รองรับความสว่างสูงสุดเฉพาะส่วนถึง 4500nits และความสว่างสูงสุดทั้งหน้าจอ 2000nits ทำให้ใช้งานกลางแจ้งได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังใส่ระบบลดแสงกระพริบ 2160Hz Full High-Frequency PWM Dimming พร้อม Full-Range DC Dimming ช่วยให้สบายตาในสภาวะแสงน้อย ผ่านมาตรฐาน Low Blue Light จาก SGS เพื่อการใช้งานระยะยาวที่สบายตายิ่งขึ้น
อีกทั้งยังครอบคลุมสีมาตรฐาน P3 Wide Color Gamut รองรับ HDR ระบบเสียงลำโพงคู่เสียงดังชัดเจน ใช้งานภายนอกอาคารยังได้ยินชัดเจน
vivo X300 ใช้แบตเตอรี่ BlueVolt 6040mAh ซึ่งถือว่าให้ความจุค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับตัวเครื่องที่คอมแพกต์ จุดเด่นของแบตเตอรี่ BlueVolt คือการใช้เทคโนโลยี Silicon Negative Electrode Gen 4 และโครงสร้างแบบ Semi-Solid State ที่ช่วยให้ความเสถียรและอายุการใช้งานดีขึ้น พร้อมการรองรับสุขภาพแบตเตอรี่ยาวนานถึง 5 ปี แม้จะชาร์จทุกวันแบตเตอรี่ก็ไม่เสื่อมสภาพไปซะก่อน การใช้งานระยะยาวมั่นใจได้
โดยอุปกรณ์ภายในกล่อง vivo X300 มีที่ชาร์จ 90W FlashCharge เคสสวมใส่ซิลิโคนตรงกับสีเครื่อง และสายดาต้า USB Type-C
ตัวเครื่อง ดีไซน์ และงานประกอบ vivo X300 Pro
ด้าน vivo X300 Pro จะขยับไปสู่สไตล์พรีเมียมแบบจัดเต็มมากขึ้น ด้วยหน้าจอใหญ่ 6.78 นิ้ว ตัวเครื่องบาง 7.99 มม. และน้ำหนัก 226 กรัม แต่แบตเตอรี่ภายในใช้ BlueVolt 6510mAh ขนาดแบตใหญ่มากทีเดียว
ฝาหลังใช้วัสดุ Coral Velvet Glass ตัวเครื่องแข็งแรง เวลาถือจริงจะรู้สึกน้ำหนักเบากว่าที่ตาเห็น เพราะวางการกระจายน้ำหนักได้ดี โครงเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมอัลลอยด์ขึ้นรูปทั้งชิ้น ดีไซน์ Unibody 3D ให้ผิวสัมผัสที่ต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียว
vivo X300 Pro มาในโทนสีที่ออกแบบดูอบอุ่น สุภาพ เริ่มจากสี Mist Blue (สีฟ้าโทนหมอก) ดูสงบ สีดูอ่อนโยน และสี Dune Brown (สีน้ำตาลโทนทะเลทราย) ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและคลาสสิก เหมาะกับคนที่ชอบลุคสุขุมนุ่มๆ ลึกๆ ปิดท้ายด้วยสี Phantom Black ที่เป็นโทนดำคลาสสิก เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่าย แต่ดูหรูนะครับด้วยเนื้อวัสดุ
จะสังเกตว่ามาในรุ่นนี้ ทาง vivo ใส่ฮาร์ดแวร์กล้องตัวใหญ่เข้ามาเต็มระบบ โดยเฉพาะโมดูลเลนส์เทเลโฟโต้และเซนเซอร์ขนาดใหญ่ แต่ออกแบบขอบโมดูลกล้องกะทัดรัดมากขึ้น ตัดเหลี่ยม ลดขอบ ใช้พื้นที่น้อยลง ถือจับได้ไม่เกะกะ โดยใช้ขอบเลนส์แบบเรียบและการแกะสลักลาย Sunburst บริเวณขอบเลนส์ เพื่อให้ภาพรวมดูเป็นโปรสำหรับการถ่ายภาพ
รวมถึงการเพิ่มปุ่มพิเศษ “ปุ่มทางลัด” อยู่บริเวณด้านข้างเครื่องทางซ้าย เป็นปุ่มเรียกใช้งานด่วนโดยจะรองรับทั้งการกดค้างไว้ และกดสองครั้ง
สามารถเข้าตั้งค่ากำหนดหน้าที่ของปุ่มทางลัดตัวนี้ได้ในการตั้งค่า ว่าต้องการจะให้ทำหน้าที่เป็นอะไร เช่น เปิดปิดไฟฉาย, เปลี่ยนโหมดการแจ้งเตือน หรือใช้เรียกการบันทึกเสียงด่วน, เรียกใช้ Note ด่วนเพื่อจดบันทึก เป็นต้นครับ
vivo X300 Pro มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว ขอบหน้าจอบางเฉียบสมมาตร 1.1 มม. เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพื้นที่แสดงผลเต็มตา ไม่ว่าจะดูคอนเทนต์หรือทำงานบนมือถือ
หนึ่งในความสามารถของหน้าจอ vivo X300 Pro ที่ช่วยให้ใช้งานกลางแจ้งได้ดีขึ้นคือเทคโนโลยี Circularly Polarized Light 2.0 ซึ่งออกแบบมาแก้ปัญหาที่หลายคนเจอบ่อยเวลาใส่แว่นกันแดดแบบ Polarized แล้วหน้าจอสมาร์ตโฟนจะมืดหรือแสดงผลผิดสี การจัดการแสงแบบใหม่นี้ช่วยปรับทิศทางแสงจากหน้าจอให้เหมาะสมโดยมีลักษณะเป็นวงกลม ทำให้แว่นไม่ตัดแสงที่จำเป็นทิ้งไป ส่งผลให้มองเห็นหน้าจอได้ชัดเจนกว่าเดิมแม้อยู่กลางแดดหรือถือเครื่องในมุมเอียง เหมาะสำหรับคนที่ใช้งานนอกอาคารบ่อยหรือชอบสวมแว่นกันแดด หน้าจอรุ่นนี้จะลดความเป็นเงาดำและทำให้สีไม่เพี้ยนในสภาวะแสงจ้าได้ด้วยครับ
ใช้กระจก Armor Glass ซึ่งมีเกรดระดับความทนทานที่สูงช่วยปกป้องได้มากขึ้น พร้อมรองรับมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68&IP69 เช่นกัน รองรับการสแกนนิ้วบนหน้าจอแบบ Ultrasonic สแกนได้แม้หน้าจอมีหยดน้ำ พาเนลที่ใช้คือ Q10 Plus (BOE) เช่นเดียวกับรุ่นปกติ แต่ปรับความละเอียดเป็น 1260 × 2800 พิกเซล พร้อมความหนาแน่น 452 PPI ทำให้ภาพคมชัดและรายละเอียดแน่นทุกมุมมอง รองรับอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz เพื่อการเลื่อนหน้าจอที่ลื่นไหลเหมือนระดับเรือธง
ด้านความสว่าง หน้าจอรุ่น Pro ให้ค่าความสว่างเฉพาะส่วนสูงสุด 4500nits และความสว่างเต็มหน้าจอสูงสุดที่ 2000nits ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนแม้อยู่กลางแดด ทั้งยังรองรับระบบลดแสงกระพริบ 2160Hz Full High-Frequency PWM Dimming พร้อม Full-Range DC Dimming เพื่อถนอมสายตาในทุกระดับความสว่าง สีสันของจอรองรับ 100% P3 Wide Color Gamut, รองรับ HDR และผ่านมาตรฐาน Low Blue Light จาก SGS
รองรับ Dolby Vision เล่น Netflix รองรับแน่นอนครับ ภาพสวย เสียงดี เป็นลำโพงคู่เสียงดังชัดเจนมาก และมีพลังเสียงที่ดี ใช้ฟังเพลงดูหนังในห้องส่วนตัวไม่ต้องต่อลำโพงเพิ่ม
อุปกรณ์ภายในกล่อง vivo X300 Pro มีที่ชาร์จ 90W FlashCharge เคสสวมใส่ซิลิโคนสีตรงกับเครื่อง และสายดาต้า USB Type-C
กล้องถ่ายภาพ
ระบบประมวลผลภาพภายในของทั้งซีรีส์จะใช้ชิปพิเศษ vivo Imaging Chip V3+ เข้ามาช่วยเป็นตัวหลัก และบนรุ่น X300 Pro จะมีชิป Pro Imaging Chip VS1 เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งตัว เพื่อช่วยทำ Pre-process ภาพก่อนส่งต่อให้ Dimensity 9500 ทำงานต่อ เรียกได้ว่าเป็นสามหัวสมอง เน้นเพิ่มความคม ลด noise และเร่งระบบ AI ของกล้องให้เร็วขึ้นถึง 200% พร้อมลดการใช้พลังงานลงถึง 60% เมื่อถ่ายภาพที่ต้องการการประมวลผลหนัก เช่น ฉากแสงซับซ้อนหรือภาพ Telephoto ความละเอียดสูง แยกหน้าที่แบ่งเบาการประมวลผลของ CPU หลักออกไปได้อีก
สเปกกล้อง vivo X300 สมาร์ตโฟนกล้องเทพในขนาดคอมแพกต์
- ความละเอียด 200MP ZEISS Main Camera ระยะ 23 มม. ใช้เซนเซอร์ขนาด 1/1.4 นิ้ว ค่ารูรับแสง f/1.68 พร้อมระบบกันสั่น OIS มาตรฐาน CIPA 4.5 ที่ช่วยให้ภาพนิ่งและเก็บรายละเอียดได้ดีในทุกสภาพแสง
- ถัดมาเป็นกล้องเทเลโฟโต้ 50MP ZEISS APO Telephoto ระยะ 70 มม. เซนเซอร์ LYT-602 ขนาด 1/1.95 นิ้ว ค่า f/2.57 มี OIS เช่นกัน จึงเหมาะสำหรับถ่ายบุคคลและการซูมในระยะกลาง
- กล้องมุมกว้างเป็นความละเอียด 50MP ZEISS Ultra Wide ระยะ 15 มม. ค่ารูรับแสง f/2.0 พร้อม Autofocus และมุมมองกว้าง 119 องศา สำหรับการเก็บภาพทิวทัศน์หรือภาพกลุ่มได้ง่ายขึ้น
- กล้องหน้าของ X300 ให้ความละเอียด 50MP ZEISS Wide-Angle Front Camera ระยะ 20 มม. ค่า f/2.0 มี Autofocus และมุมมองกว้าง 92 องศา รองรับการถ่ายเซลฟี่แบบชัดเจน แม้ในเฟรมหลายคน
ภายใน มีการติดตั้งชิป V3+ สำหรับทำงานร่วมกับ Dimensity 9500 เพื่อการประมวลผลด้านกล้องและการถ่ายภาพโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบแฟลชอัจฉริยะ Adaptive Zoom Flash ที่ปรับมุมและความเข้มของแสงตามระยะของเลนส์โดยอัตโนมัติ สำหรับรุ่น X300 จะรองรับกับเลนส์ระยะ 23 มม., 50 มม. ไม่ได้ยิงแสงแบบทั่วไปที่มีเพียงรูปแบบเดียวแต่ใช้ในทุกระยะเลนส์ ระบบจะปรับทิศทางและความเข้มของแสงให้เหมาะสมกับระยะเลนส์ในแต่ละช็อตโดยอัตโนมัติ จุดนี้ช่วยแก้ปัญหาแฟลชแรงเกินไปในระยะใกล้ หรือแสงไม่ถึงในระยะไกล ทำให้ได้ภาพที่บาลานซ์แม้ถ่ายในที่แสงน้อย
นี่เป็นสมาร์ตโฟนเครื่องคอมแพกต์พกง่าย ที่คุณภาพกล้องไม่ได้เล็กไปตามขนาดตัวเลยครับ ประสิทธิภาพของชุดกล้องระดับสูงมาก
สเปกกล้อง vivo X300 Pro จัดเต็มด้วยชุดกล้องที่เป็นสุดยอดของเทคโนโลยี
- โดยไฮไลต์สำคัญคือกล้องเทเลโฟโต้ความละเอียด 200MP ZEISS APO ระยะ 85 มม. เป็นความละเอียดที่สูงที่สุดในกล้องเทเลโฟโต้ของสมาร์ตโฟนปัจจุบัน ใช้เซนเซอร์ขนาดใหญ่ถึง 1/1.4 นิ้ว ซึ่งใหญ่ที่สุดในกลุ่มเลนส์เทเลโฟโต้ด้วยเช่นกัน ค่ารูรับแสง f/2.67 และมีระบบกันสั่น OIS ตามมาตรฐาน CIPA 5.5 ทำให้การซูมระยะไกลให้รายละเอียดสูงและความนิ่งของภาพดีกว่ารุ่นก่อนหน้า
- ส่วนกล้องหลักให้ความละเอียด 50MP ZEISS Gimbal-Grade ระยะ 24 มม. ใช้เซนเซอร์ LYT-828 ขนาด 1/1.28 นิ้ว พร้อมรูรับแสงกว้าง f/1.57 และรองรับ OIS CIPA 5.5 เช่นกัน ช่วยให้ภาพนิ่งและเก็บแสงได้ดีแม้ในฉากแสงน้อย
- กล้องอัลตร้าไวด์มีความละเอียด 50MP ระยะ 15 มม. ค่ารูรับแสง f/2.0 พร้อม Autofocus และมุมมองกว้าง 119 องศา เพื่อการเก็บภาพมุมกว้างที่คมชัดทั้งเฟรม
- ส่วนกล้องหน้าให้ความละเอียด 50MP ZEISS Wide-Angle ระยะ 20 มม. f/2.0 พร้อม Autofocus และมุมกว้าง 92 องศา รองรับการถ่ายภาพบุคคลทั้งเดี่ยวและกลุ่มได้อย่างชัดเจน
มาพร้อมไฟแฟลชแบบ Adaptive Zoom Flash แบบฮาร์ดแวร์ ที่รองรับทั้งเลนส์ 24 มม., 50 มม. และ 85 มม. ให้แสงที่เหมาะสมตามระยะเลนส์ได้โดยอัตโนมัติด้วยเช่นกัน
vivo X300 Pro มีชิปประมวลผลภาพพิเศษ VS1 ซึ่งทำงานร่วมกับ Dimensity 9500 และ V3+ รวมกับโมดูลกล้องที่จัดเต็มมากกว่า ทำให้มีความสามารถเฉพาะที่พบได้ในรุ่น Pro เท่านั้นอยู่ด้วยครับ
เลนส์ที่ vivo X300 Pro ใช้ก็เป็นเกรด Fluorite-Grade Glass ซึ่งพบไม่บ่อยในสมาร์ตโฟน มีคุณสมบัติช่วยลดการกระจายแสงและให้ความคมแบบที่ใกล้เคียงเลนส์กล้องระดับมืออาชีพ อีกด้านหนึ่ง กล้องนี้ยังได้รับการรับรอง ZEISS APO ที่เน้นลดปัญหา “ขอบสีเพี้ยน” หรือ Chromatic Aberration ทำให้ภาพซูมสะอาดตา ทั้งในฉากกลางวันและฉากย้อนแสง
vivo X300 Series ทั้งสองรุ่น รองรับการซูมภาพสูงสุดที่ 100x โดยเฉพาะความสามารถ vivo X300 Pro อยู่ที่การซูมจากเลนส์เทเลโฟโต้ 200MP ZEISS APO ผลลัพธ์การซูมตั้งแต่ระยะกลางไปจนถึงซูมไกลระดับ 10–30 เท่า โดยยังรักษารายละเอียดของภาพได้ดีมากๆ เนื่องจากใช้เซนเซอร์ขนาดใหญ่และเลนส์เกรดฟลูออไรต์
ภาพซูมตั้งแต่ระยะ 1x ถึง 3.5x คือซูมเลนส์แท้ๆ คมกริบแบบไม่ต้องพยายาม ในระยะ 10x คือยังได้คุณภาพ 100% คมไปจนถึงระดับไกลลิบตาโน้นเลยครับ
vivo X300 ก็คมกริบไม่แพ้กัน ระยะ 30x ยังเอาอยู่สบายๆ ในขนาดเครื่องแค่นี้ไม่มีใครโดดเด่นเท่าแล้วครับคุณภาพคับเครื่อง
vivo X300 Pro มีระบบโฟกัสอัจฉริยะตัวใหม่ ที่สามารถตรวจจับ “นก” หรือ “ดอกไม้” ได้โดยอัตโนมัติ เมื่อเลนส์เทเลโฟโต้จับได้ว่ากำลังถ่ายวัตถุประเภทนี้ ระบบจะสลับโหมดโฟกัสและปรับค่าประมวลผลให้เหมาะกับการเก็บรายละเอียดโดยทันที เช่นลวดลายของขน หรือโทนสีของกลีบดอกไม้ พร้อมแสดงไอคอน ZEISS บนหน้าจอ ให้เราสามารถเข้าไปสลับใช้ Mirotar Bokeh ที่จำลองจากเลนส์ ZEISS เกรดโปรในอดีต ที่มีลักษณะเด่นของโบเก้ที่มีลักษณะเป็น “วงกลม” หรือ “วงจุด” ของแสงด้านหลัง ซึ่งเป็นฟีเจอร์พิเศษที่จะทำงานเฉพาะในโหมดการซูม 10x ขึ้นไปเท่านั้นครับ
จากที่ทดสอบโหมดระดับ 10x คมมาก! และถ้าเจอสิ่งใดที่เป็นสัตว์คล้ายกันกับนก ถ้า AI มองว่าเป็นนกหรือดอกไม้ก็แอบเปิดโหมดนี้ได้หมดนะครับ เจ้าตัวนี้เวลาซูมหน้าอาจจะแหลมเหมือนนก เลยเปิด Mirotar Bokeh ได้ด้วยเช่นกัน ^^ ( *Mirotar Bokeh มีใน vivo X300 Pro เท่านั้น)
vivo X300 Pro รองรับการถ่ายภาพพอร์ตเทรตจากหลายระยะ 24mm, 35mm, 50mm, 85mm, และระยะที่เป็นเทเลพอร์ตเทรตจัดๆ อย่าง 135mm ก็ถ่ายได้ (สำหรับ vivo X300 จะรองรับ 5 ระยะเช่นกัน แต่จะเป็น 23mm, 35mm, 50mm, 85mm, และ 100mm)
โดยในแต่ละระยะจะมีโบเก้สไตล์ ZEISS ให้เลือกใช้ใส่มาให้เยอะมาก แต่ละสไตล์ก็ออกแบบมาจากเลนส์จริงของ ZEISS ทั้งสิ้นครับ ขอบตัวแบบคมชัด ฉากหลังละลายสวยเป็นธรรมชาติ เลือกระยะที่ต้องการ ปรับเปลี่ยนโบเก้อย่างที่อยากจะให้เป็นได้เลย
รวมถึงยังมีโหมดมาสเตอร์เลนส์ ที่ทำมาเป็นพรีเซ็ต โดยจะกำหนดระยะและโบเก้สไตล์เอาไว้ตามระยะเลนส์จริงของ ZEISS ในตำนาน ในโหมดนี้ปรับอิสระไม่ได้นะครับ จะเหมือนเราหยิบเลนส์นั้นเอามาใช้งานกันจริงๆ เลย
และในโหมดภาพบุคคล มีมาให้เลือกทั้งสองสไตล์ที่นิยมต่างกัน อยากได้เป็นธรรมชาติ มีคอนทราสและรายละเอียดของแสงและใบหน้า หรือชอบแนวสดใสสไตล์กระจ่างใส่ ใน vivo X300 Series มีมาให้เลือกทั้งคู่ และสามารถเลือกใช้ได้ทั้งการถ่ายด้วยกล้องหลังและกล้องหน้าครับ
vivo X300 Series ยังสามารถถ่าย Telephoto Macro ได้ด้วย และด้วยเซนเซอร์ขนาดใหญ่และเลนส์เทเลโฟโต้ระดับเทพ ทำให้ถ่ายวัตถุที่อยู่ไกลให้ดูใกล้ เป็นมาโครที่ไม่ได้ต้องจ่อติดวัตถุ เพราะรองรับการซูมในโหมดมาโครถึง 20 เท่า กลายเป็นมิติที่แตกต่างจากดวงตามนุษย์ ภาพที่ได้ยังมีความลึกและรายละเอียดที่สูงอีกด้วย
ถ่ายทะลุเข้าไปในดงดอกไม้ เดินเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว ก็ยังเก็บรายละเอียดหยดน้ำปลายยอดได้เป็นอย่างดี

ในด้านด้านการถ่ายวิดีโอ vivo X300 Series รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 120fps ที่ให้ความลื่นไหลของภาพสูง รวมถึงการถ่ายแบบ 10-bit Log ซึ่งให้ความยืดหยุ่นเวลาไปเกรดสี โดยนักสร้างคอนเทนต์สามารถนำไปปรับฟุตเทจได้ง่ายขึ้นมาก
และสำหรับ vivo X300 Pro ทำได้ดีกว่า เพราะนอกจากจะสามารถถ่ายวิดีโอ 4K 120fps ได้จากทั้งกล้องหลักและเทเล ยังรองรับการซูมภาพในโหมด 4K 120fps ได้ถึง 10x เหมาะกับการถ่ายซีนเคลื่อนไหวหรือการนำไปทำสโลว์โมชันได้ทีหลัง รวมถึงการถ่าย 8K 30fps
และยังรองรับ Dolby Vision ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังอีกด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นคือการถ่ายวิดีโอระยะไกลที่มักมีความสั่นสูง แต่ X300 Pro ใช้ระบบกันสั่น OIS ระดับ CIPA 5.5 ร่วมกับ EIS เพื่อช่วยให้ภาพนิ่งขึ้น
จะเห็นว่า vivo เน้นการถ่ายภาพเคลื่อนไหวมาไม่ต่างไปจากการถ่ายภาพนิ่งเลยครับ
รองรับทุกสถานการณ์ภาพถ่าย ด้วยโหมดกล้องครบที่สุดในซีรีส์
ชุดโหมดกล้องของ vivo X300 Series เน้นความง่าย ความแม่นยำ และความยืดหยุ่น เพื่อให้ผู้ใช้กดถ่ายเมื่อไรก็ได้ภาพที่มั่นใจได้ทันทีในทุกสภาพแสงและทุกระยะเลนส์ โดยมีการออกแบบฟีเจอร์ถ่ายภาพไว้มากมาย ไม่ว่าคุณจะเอาเครื่องไปถ่ายคอนเสิร์ต วิวทิวทัศน์ หรือพอร์ตเทรต ได้ถูกออกแบบมาให้รับมือกับทุกสถานการณ์โดยไม่ต้องปรับตั้งค่าซับซ้อนใดๆ ใส่ไว้ให้หมดแล้วแทบจะทุกอย่างครับ ไม่มีอะไรถูกผิด ไม่มีความสามารถไหนดีที่สุด เลือกใช้ตามที่อยากใช้ แต่บอกได้เลยว่าพอคุณภาพกล้องมันดี ถ่ายโหมดไหนภาพก็สวยทุกโหมดอยู่ดีครับ
ทั้ง vivo X300 และ X300 Pro รองรับการถ่ายแบบสตรีทโหมด เดินไปถ่ายไปด้วยการปรับแต่งสไตล์ง่ายๆ (โหมดสตรีทเข้าได้ด้วยการสไลด์ขึ้นจากสัญลักษณ์ลูกศรบริเวณปุ่มชัตเตอร์) ทำมาให้แล้วเป็นพรีเซ็ตรูปแบบต่างๆ มีให้ใช้ทั้ง B&W สำหรับการถ่ายภาพโทนขาวดำ, Texture สำหรับแนวภาพแสงเงาที่ต้องการเน้นรายละเอียด, Vivid เน้นความสดใส, และ ZEISS รูปแบบที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ปรับแต่งมาโดยทีม ZEISS และมีหลายสไตล์หลายแบบ ทุกอย่างเลือกใช้ได้อย่างรวดเร็วในคลิ๊กเดียว
โหมด 200MP Ultra-High Resolution
ทั้ง X300 และ X300 Pro รองรับการถ่ายภาพความละเอียดสูงสุด 200MP ช่วยเก็บรายละเอียดของภาพในระดับลึกแม้จะนำมาขยายภายหลัง เช่นเก็บรายละเอียดได้แม้จะเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ของวัตถุที่อยู่ไกลๆ
มีความสามารถที่น่าสนใจที่อยู่ในโหมด 200MP Ultra-High Resolution คือการให้ AI เลือกเฟรมภาพหลังถ่ายได้ในขั้นตอน AI Multi-Crop เพื่อครอปภาพคนหรือวัตถุสำคัญในฉากออกมาเป็นภาพหลายกรอบจากช็อตเดียว คอมโพสภาพที่ AI จัดทำให้เหมือนเป็นการเพิ่มความแปลกใหม่ เปลี่ยนมุมมอง โดยที่เราไม่ต้องทำเองครับ
Stage Mode 2.0 — ถ่ายงานเวทีให้สวยด้วยการปรับแสงสีพิเศษ
ฟีเจอร์เด่นของ X300 Series คือ Stage Mode 2.0 ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการถ่ายคอนเสิร์ตโดยเฉพาะ ด้วยเทคโนโลยี Telephoto Magic 2.0 และ GTR 3.0 ช่วยควบคุมแสง แม้มีแสงเวทีซับซ้อน หรือจะนำไปประยุกต์ใช้กับงานแสดงสีเสียงก็ได้เช่นกัน ภาพที่ได้ก็จะมีความจัดจ้านของสีและแสงเงาที่เหมาะกับงานแสงสีได้มากกว่าปกติ
และในโหมดเวที ผู้ใช้ยังสามารถถ่ายวิดีโองานคอนเสิร์ตได้จากสองเลนส์พร้อมกันทั้งกล้องหน้า + กล้องหลัง ในโหมดใหม่ Concert Dual-View เพื่อเก็บภาพตัวเองในอีเวนต์และบรรยากาศรอบข้างในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่ามีเครื่องเดียวแต่เก็บบรรยากาศสองมุมได้พร้อมกัน แถมยังสามารถเลือกได้ว่าจะบันทึกภาพจากสองกล้องเป็นไฟล์เดียว หรือไฟล์แยกกัน เพื่อการนำไปตัดต่อภายหลังได้อีกด้วย
AI Landscape Master และ Weather Filters
กลับมาอีกครั้งด้วยความยิ่งใหญ่กว่าเดิม โหมดที่ได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่รุ่นก่อน การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมให้เหมือนอยู่ต่างประเทศ, ต่างฤดู ระบบ AI จะช่วยประเมินสภาพอากาศและโทนสีในฉาก ก่อนปรับด้วยฟิลเตอร์สภาพอากาศที่จะเปลี่ยนทั้งฉาก ทิวทัศน์ องค์ประกอบ โทนแสง โทนสี ทั้งวิวรอบข้างและตัวบุคคลในภาพ จากแต่ก่อนมีให้เลือกใช้ 4 ฤดู ล่าสุดอัปเกรดใหม่ มีให้เลือกกว่า 16 แบบ
สไตล์ 4 ฤดู เปลี่ยนบรรยากาศ โทนสี แสงเงา และองค์ประกอบรอบตัว ให้กลายเป็นทิวทัศน์ที่ไม่มีจริงได้แบบเนียนตา เหมือนบินไปถ่ายภาพจากต่างประเทศ
โหมดเปลี่ยนภูมิภาค เป็นดินแดนหิมะ เกาะแก่ง หรือทะเลทราย เปลี่ยนแปลงทั้งพื้นที่ให้กลายเป็นดินแดนใหม่ด้วย AI
โหมดเปลี่ยนช่วงเวลา ถ่ายเช้าอยากได้เย็น ถ่ายเย็นอยากได้ตอนมืด ไม่ต้องสนเวลาจริง เปิดโหมด AI Style แล้วเลือกช่วงเวลาที่ต้องการ AI ปรับให้เนียนกริ๊บ
สไตล์ที่จะเปลี่ยนโลกจริงให้เข้าสู่บรรยากาศเหนือความจริง โลกไซเบอร์, โลกของภาพวาด หรือภาพการ์ตูนแนวอนิเมชั่น หรือเข้าสู่บรรยากาศเฉลิมฉลองด้วยพลุดอกไม้ไฟ AI ที่ทั้งหมดสร้างขึ้นมาได้แบบเนียนตาสุดๆ ครับ
นี่คือโหมดของความสร้างสรรค์ เปลี่ยนภาพในวันที่ท้องฟ้าไม่สวยให้ดูสดใส รองรับทั้งภาพพอร์ตเทรตและภาพวิว เนียนตา แปลกใหม่ ใช้งานได้ฟรีไม่ต้องติดตั้งแอปภาพนอกเพิ่ม แต่ในขณะใช้งานต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตนะครับ เพราะฟังก์ชันนี้จะอาศัยการประมวลผลบนคลาวด์คอมพิวเตอร์ส่วนตัว ที่ vivo บริการให้ฟรี
Live Photo พร้อมเอฟเฟกต์พิเศษ
ทั้งสองรุ่นรองรับ Live Photo เวอร์ชันใหม่ที่ให้ภาพเคลื่อนไหวลื่นกว่าเดิม และใช้งานง่ายขึ้น พร้อมเอฟเฟกต์พิเศษ
Live Photo Zoom Effect สำหรับสร้างการเคลื่อนไหวแบบซูมเข้าออก ไม่ใช่แค่การขยับรูปแบบเดิมๆ และยังมี Live Photo Dolly Zoom ที่เพิ่มมิติให้ภาพเหมือนเทคนิคการเลื่อนกล้องในหนัง
และ AI Erase สำหรับ Live Photo ผู้ใช้สามารถลบวัตถุหรือคนที่ไม่ต้องการใน Live Photo ได้โดยการวงรอบวัตถุ ระบบจะลบออกให้ครบทุกเฟรมโดยที่ภาพยังคงความเป็น Live Photo อยู่เหมือนเดิม และการครอปภาพโดยที่ยังไม่เสียคุณลักษณะของ Live Photo ไปด้วย ซึ่งเป็นจุดเด่นของซอฟต์แวร์ที่เน้นการแก้ไขภาพเคลื่อนไหวที่ฉลาดมากขึ้น
กล้องหน้าความละเอียด 50MP ZEISS Wide-Angle
ทั้งคู่ ให้กล้องเซลฟี่ความละเอียดสูงมาทั้งสองรุ่น ให้ภาพคมชัด รองรับการซูมภาพด้วยกล้องหน้า 2x และเก็บภาพมุมกว้างได้ 0.8x เพิ่มความหยืดหยุ่นในการใช้ถ่ายภาพขณะท่องเที่ยวได้เยอะเลย จะเซลฟี่เดี่ยวหรือกลุ่มก็ได้หมด มาพร้อมความสามารถในการปรับโบเก้ฉากหลังในสไตล์ของ ZEISS มาแบบจัดเต็ม พร้อมการปรับแต่งใบหน้าที่ปรับจูนมาอย่างดีของทาง vivo ใช้งานสนุก หน้าเราสวย ภาพวิวสวย จะแนวสมจริงหรือหวานใสก็เลือกได้หมดครับ
เซลฟี่ในที่แสงน้อยก็ยังดูดี มีโหมดเซลฟี่ในที่แสงน้อย ที่จะใช้แสงจากหน้าจอเข้าช่วยชดเชยเหมือนไฟเสริมให้กับเราได้อัตโนมัติครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดต่างๆ
อุปกรณ์เสริม vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender
สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การซูมแบบจริงจังมากขึ้น vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender เป็นอุปกรณ์เสริมที่พัฒนาโดย vivo ร่วมกับ ZEISS และมีวางจำหน่ายในประเทศไทยเช่นกัน จุดเด่นของเลนส์เสริมตัวนี้คือการเพิ่มกำลังขยายอีก 2.35 เท่า
ทำให้ซูมได้ไกลในระดับ 200 มม. ไปจนถึงระยะ 5400 มม. ไกลมากกก! พร้อมรายละเอียดที่ใกล้เคียงกล้องมืออาชีพ เป็นอุปกรณ์เสริมที่ยอดเยี่ยมสำหรับสายถ่ายภาพเลยครับทั้งในงานเวที ทิวทัศน์ พอร์ตเทรต และการถ่ายวิดีโอ ใช้งานได้ลื่นไหลไม่ต่างจากเลนส์หลักของตัวเครื่อง ซูมไกล คมกริบ
ความแตกต่างของอุปกรณ์เสริมนี้ระหว่างสองรุ่นคือ vivo X300 Pro จะมีพร้อมอุปกรณ์เสริมสองชุด
- ชุดแรกเป็นตัวเลนส์เสริม vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender , แผ่นเพรทโลหะสำหรับติดตั้งเลนส์เสริม และเคสสมาร์ตโฟนพร้อมขาตั้งที่กางออกได้ ชุดนี้สำหรับคนที่ต้องการเลนส์เสริมเพื่อซูมภาพในระยะที่ไกลได้มากขึ้น
- ชุดที่สองเป็นชุดกริปจับพร้อมปุ่มชัตเตอร์ที่มีแบตเตอรี่เป็นแบตเสริมใน มีมาพร้อมสายคล้องมือและสายคล้องคอ ช่วยทำให้เราถือจับเครื่องในได้ง่ายขึ้น ถือจับและควบคุมการถ่ายภาพได้เหมือนกล้องจริงๆ มาพร้อมกับเคสสมาร์ตโฟนพร้อมขาตั้งที่กางออกได้ด้วยเช่นกัน ชุดนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการกริปจับเพิ่มความถนัด ช่วยในการควบคุมการถ่ายภาพได้ง่าย
ถ้าใครอยากฟลูออฟชั่น มีทั้งเลนส์เสริมและกริปจับ ก็ต้องซื้อสองชุดมาประกอบกันครับ ส่วน vivo X300 จะมีชุดเลนส์เสริมพร้อมเคสเข้ามาขายด้วยเช่นกัน แต่จะไม่มีชุดกริปจับสำหรับรุ่น X300 นะครับ
ไม่ใช่แค่ตัวเลนส์ที่ทำออกมาได้อย่างดี แต่อุปกรณ์แต่ละชิ้นในชุดนี้คุณภาพดีทุกชิ้น ทั้งผิวสัมผัส เนื้อวัสดุ และการออกแบบ โดยเฉพาะเคสสวมใส่ผมชอบมาก เป็นเคสที่สวยและเสริมให้เครื่องดูดี อาจจะเป็นเคสที่สวยที่สุดที่คุณจะหาได้ก็เป็นไปได้ ส่วนตัวกริปจับก็แข็งแรงทนทานและเป็นแบตเสริมในตัว และถ้าจะนำแผ่นเพลทเหล็กมาติดตั้งเอาไว้โดยไม่ต้องติดตั้งชุดเลนส์ ก็เป็นการป้องกันกระจกหน้าเลนส์ของมือถือไปในตัวได้ด้วยเช่นกัน มีประโยชน์ทุกชิ้นแน่นอครับ ผมบอกได้แล้วชุดนี้คุ้ม ^^
ออกแบบมาให้ติดตั้งง่าย และถอดง่าย ได้ประโยชน์แถมยังสวยงามดูดีมีราคา ฝาหลังเคสเป็นผิวสัมผัสหนัง จะใช้คู่กันกับกริบในชีวิตประจำวันก็ดูคล่องตัวนะ ถือจับใช้งานสมาร์ตโฟนไม่เกะกะ มีสายคล้องคอที่ถอดออกเป็นสายคล้องมือได้ในตัว ออกแบบดีครับ
ส่วนชุดตัวเลนส์และขายึดใช้วัสดุโลหะ ไม่ต้องกลัวเสียหายง่ายๆ จากการถอดเข้าถอดออก มีการทำมาร์คกิ้งและระบบล็อคเอาไว้ให้แล้วแบบกล้องจริง ถ้าใครเลือกเดินไปทางสายกล้อง หรือใครที่ชอบเที่ยว ชอบไปถ่ายงานเวที มีชุดนี้ไว้ใช้เถอะครับ แล้วมันจะไม่ใช่แค่ vivo X300 Pro แต่จะเป็น vivo X300 “Pro Pro Pro Pro” ของระดับมืออาชีพชัดๆ ^^
ในการใช้งานเลนส์เสริม ใช้ไ่ม่ยาก ในระบบกล้องของ X300 Series จะมีโหมดที่รองรับการใช้งานร่วมกับเลนส์เสริมนี้โดยเฉพาะเอาไว้ให้แล้ว เมื่อติดตั้งเลนส์เสริมก็กดเปิดโหมดนี้ได้เลยจากไอคอนทางลัดบนหน้าแอปกล้อง ก็จะเข้าโหมดการซูมของเลนส์เสริมได้ทันที
ซูมได้ไกลในระดับ 200 มม. ไปจนถึงระยะ 5400 มม. โดยเฉพาะระยะ 800mm ขึ้นไปใช้บ่อย เพราะถือว่าเป็นระยะส่องสัตว์ อยู่นอกระยะที่สัตว์จะระวังตัว และผมมีตัวอย่างภาพถ่ายบางส่วนที่ถ่ายจากเลนส์เสริมตัวนี้มาให้ดูกันด้วยครับ
ประสิทธิภาพ MediaTek Dimensity 9500 พร้อมหน่วยความจำสเปกสูง
ทั้ง vivo X300 และ vivo X300 Pro ใช้ชิปประมวลผลรุ่นเดียวกันคือ MediaTek Dimensity 9500 ซึ่งเป็นชิปเรือธงประสิทธิภาพสูงแบบ All-Big-Core CPU ให้พลังการทำงานเพิ่มขึ้น 24% ในงาน Single-Core และเพิ่มขึ้น 10% ในงาน Multi-Core ชิปกราฟิกยังถูกระบุว่าเป็นระดับ GPU อันดับ 1 ของอุตสาหกรรม
vivo X300 Series มาพร้อม OriginOS 6 บนพื้นฐาน Android 16 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เน้น “ความลื่นไหล” และ “ความเรียบง่าย” เป็นหลักตั้งแต่แกะกล่อง การออกแบบอินเทอร์เฟซถูกปรับให้ทรงพลัง ทั้งด้านประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน รวมถึง NPU ที่มีความเร็วประมวลผล AI สูงสุดในกลุ่มเดียวกัน เร็ว แรง ลื่นไหล มีความเสถียรสูงครับสำหรับ OriginOS 6
ทั้ง vivo X300 และ X300 Pro มาพร้อมตัวเลือกหน่วยความจำความเร็วสูง ใช้มาตรฐาน ROM UFS 4.1 และ RAM LPDDR5X Ultra
- โดยรุ่น X300 ให้สเปก 12GB RAM + 256GB ROM และ 16GB RAM + 512GB ROM
- ส่วน X300 Pro จะขยับขึ้นไปที่ 16GB RAM + 512GB ROM และรุ่นท็อป 16GB RAM + 1TB ROM
OriginOS 6 การออกแบบ UI ดูโปร่งกว่าเดิม สีและพื้นหลังมีการไล่เฉดแบบโปร่งแสง ทำให้ดูสบายตาและไม่รบกวนสายตาเวลาใช้งานนาน ๆ ระบบแอนิเมชันไปจนถึงโครงสร้าง UI ภายใน ให้การใช้งานดูเป็นธรรมชาติขึ้นกว่าเดิมมากครับ รู้สึกได้ทันทีตั้งแต่เปิดเครื่อง ไม่ใช่ความไวในแบบที่ดูฝืนดูแข็ง ส่วนไอคอนและแอนิเมชันต่าง ๆ ถูกปรับให้เคลื่อนไหวธรรมชาติขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะหน้าจอล็อคสกรีน มีลูกเล่นที่ให้ประสบการณ์ใหม่เข้ามาเยอะมากครับ โดยเฉพาะฟีเจอร์ Flip Cards (พลิกการ์ด) ซึ่งเป็นการแสดงภาพแบบเลนติกิวลาร์—เอียงเครื่องแล้วภาพจะเปลี่ยนไปโดยอาศัยการทำงานของ Gyroscope เพื่อให้การแสดงภาพขยับตามองศาที่ผู้ใช้ถือเครื่อง ลื่นและแม่นมากๆ เป็นของสนุกเลยครับฟังก์ชันนี้ เอียงแล้วท้องฟ้าเปลี่ยนสี หรือแมวตัวนี้จะแลบลิ้นออกมา ^^ เชื่อว่าหลายคนจะชอบ
เป็นหน้าล็อคที่มีลูกเล่นมากขึ้นและใช้ได้กับทั้งภาพนิ่ง Live Photo และวิดีโอ ปรับแต่งได้หลากหลายมาก ลาก ย่อ ขยาย ได้หมด ใครชอบการปรับแต่งในแบบเฉพาะบุคคล OriginOS 6 ไม่มีคำว่าผิดหวังแน่นอน ^^
เมื่อเรียกใช้หน้าจอล็อคที่เราทำขึ้นเอง หน้าจอ Alway-On ก็จะสามารถเปลี่ยนไปตามหน้าจอล็อคที่เราสร้างได้เองอีกด้วย ฉลาดดีครับ
ส่วน Origin Island พื้นที่พิเศษก็ถูกพัฒนาเป็นศูนย์กลางการใช้งานได้มากกว่าการแจ้งเตือน นอกจากจะแสดงข้อมูลสำคัญของระบบได้แล้ว เรายังสามารถใช้เป็นพื้นที่การคัดลอกข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นภาพ ข้อความ สิ่งที่คัดลอกสามารถลากขึ้นไปวางใช้งานบนแอปที่เรากำหนดไว้ใน Origin Island ได้เลย
ทำให้ไม่ต้องเปิดหลายแอปเพื่อทำงานง่าย ๆ ซ้ำ ๆ อันนี้เป็นทางลัดที่จะแสดงขึ้นมาในจังหวะที่ช่วยเราได้มากเลยครับ
ข้อพิเศษคือ Origin Island ไม่ได้ทำงานในโหมดแนวตั้งได้เท่านั้น แต่ในขณะเราใช้งานแอปพลิเคชั่นอื่นในแนวนอน มันก็ยังสามารถแสดงผลเป็นพื้นที่พิเศษในแนวนอนได้ด้วยเช่นกัน
ในด้านการทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ OriginOS 6 มาพร้อมชุดฟีเจอร์ Office Kit ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อกับ Mac ทำได้ง่ายขึ้น ทั้งการส่งไฟล์แบบลากวาง การสะท้อนหน้าจอ (Screen Mirroring) ที่นำไฟล์จากสมาร์ตโฟนไปใช้งานบนเดสก์ท็อปของ Mac ได้ทันที
ทำให้ vivo X300 Series สามารถทำงานร่วมได้กับทั้งอุปกรณ์ในระบบ Windows และ MacOS โดยมีบางฟังก์ชันที่ทำได้เหนือกว่าเจ้าของระบบเองด้วยซ้ำ ^^ แต่เข้าดาวน์โหลดและติดตั้ง Office Kit ลงบนอุปกรณ์ PC, Notebook ที่ต้องการซะก่อนครับ
ประสิทธิภาพการทำงาน รุ่นนี้สเปกท็อปของวงการ แรงที่สุดแล้วจากค่าว MediaTek เล่นได้ลื่นระดับ 100% ในทุกเกม และทุกแอปพลิเคชั่น
และสามารถจัดการกับการควบคุมความร้อนได้ดีด้วย มีระบบระบายความร้อนที่ออกไว้ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ภายในเครื่อง ใครที่ห่วงเรื่องเครื่องร้อนเพราะสเปกแรง ไม่ต้องห่วงเลย จากการทดสอบใช้เล่นเกมในอุณหภูมิห้องต่อเนื่องนานๆ ตัวเครื่องไม่ได้มีความร้อนสะสมขึ้นมาจนต้องรู้สึกเป็นกังวล ซึ่งข้อนี้คือข้อดีที่น่าจะส่งผลต่ออายุการใช้งานในระยะยาวของเครื่องด้วย คุมร้อนดีก็ไม่เสื่อมเร็ว
vivo X300 Series ภายในยังติดตั้ง X-Axis Linear Motor ที่ให้แรงสั่นได้ชัดครับ มีการตอบสนองที่แม่นยำสอดรับกับการใช้งาน เล่นเกม หรือสลับเมนู ระบบจะปล่อยแรงสั่นตามสถานการณ์ ให้ความรู้สึกแบบเครื่องพรีเมียมในเวลาใช้งานจริงได้มากทีเดียว
vivo X300 Series ในด้านการเชื่อมต่อ ก็รองรับเทคโนโลยีล้ำยุคแบบครบชุด รองรับสองซิมการ์ด 5G แบบ Dual SIM Dual Standby สามารถเปิดใช้ eSim ได้แทนซิมการ์ดที่ 2 , รองรับ Wi-Fi 7 ความเร็วสูง และสามารถนำ Wi-Fi และสัญญาณมือถือมารวมกันเพื่อเร่งความเร็วของเครือข่ายได้ด้วย รวมถึงรองรับ Bluetooth 6 เวอร์ชันล่าสุด แต่รุ่นนี้สล็อตใส่ซิมไม่รองรับ microSD Card เพิ่มเติมนะครับ
ระบบ AI ยังคงใส่มาครบถ้วน ทั้งการบันทึก สรุป และแปลภาษา สามารถแปลได้จากทั้งข้อความและภาษาพูด รวมถึงความสามารถในการช่วยเขียนและแปลงประโยค สามารถแปลสนทนาสายแบบเรียลไทม์ พูดคุยกับปลายทางในภาษาอื่นได้รู้เรื่อง สามารถใช้งานได้มากกว่า 21 ภาษาหลักเรียบร้อยแล้ว รวมถึงภาษาไทยครับ
แน่นอนการจัดการภาพด้วย AI ยังคงใส่เข้ามาให้แบบครบถ้วน การปรับหลังการถ่าย การเพิ่มรายละเอียดภาพ ปรับปรุงสีและคุณภาพของภาพ ทำได้หมด รวมถึงการลบบุคคลที่ยิ่งทำยิ่งเนียน ภาพในที่คนพลุกพล่าน กดคลิ๊กเดียวหายหมดครับ
และความสามารถในการใช้ AI ขยายภาพ โดยจะเติมภาพในส่วนที่ไม่มีจริงเข้าไป เช่นในกรณีที่เราต้องการองค์ประกอบภาพเพิ่มเติม ก็จับมาขยายได้เลยครับ ทำออกมาได้เนียนเช่นเดียวกัน
แบตเตอรี่และระบบชาร์จ — อึดขึ้นกว่าที่คิด ใช้งานยาวทั้งวัน
vivo X300 Series ให้ความสำคัญทั้งกับอายุการใช้งานระหว่างวัน และความเสถียรของแบตเตอรี่ในระยะยาว โดยทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี BlueVolt Battery เจเนอเรชันใหม่ที่พัฒนาจากโครงสร้างกึ่งแข็ง (Semi-Solid State) และวัสดุ Silicon Negative Electrode Gen 4 ซึ่งช่วยเพิ่มความจุโดยไม่ทำให้ตัวเครื่องหนาหนักจนเกินไป เราเลยสังเกตเห็นได้ว่าทั้งสองรุ่นมีขนาดแบตที่ใหญ่ ใส่โมดูลกล้องระดับเทพ แต่เครื่องจริงกลับรู้สึกบาง และเบากว่าหน้าตาที่เห็นภายนอกซะอีก โดยเฉพาะเมื่อดูจากขนาดแบตเตอรี่ภายในที่ให้มา
รุ่น vivo X300 ให้ความจุ 6040mAh ถือว่าใหญ่มากสำหรับเครื่องขนาดคอมแพกต์ การใช้งานทั่วไปจากที่ลองใช้งานสามารถอยู่ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องชาร์จซ้ำ ดูคอนเทนต์ เล่นโซเชียล เปิดหน้าจอต่อเนื่องจะกินพลังงานแค่ประมาณชั่วโมงละ 10% เท่านั้น
ส่วนรุ่น vivo X300 Pro เพิ่มความจุเป็น 6510mAh เพื่อรองรับงานกล้องที่ต้องประมวลผลหนักกว่า รวมถึงหน้าจอที่ใหญ่กว่า แต่มั่นใจได้ว่าพลังงานจะเพียงพอตลอดวันได้เช่นเดียวกัน
จะสังเกตเห็นว่าใน OriginOS 6 มีการปรับวิธีการสลับโหมดชาร์จแบบใหม่ ให้เราสามารถเลือกใช้โหมดชาร์จความเร็วสูงสุด กับโหมดชาร์จเร็วแบบปกติ ทำได้ตั้งแต่หน้าจอล็อคเมื่อเสียบสายชาร์จเลยครับ ไม่ต้องลำบากเข้าไปในเมนูการตั้งค่า แล้วค่อยเลือกเปลี่ยนให้วุ่นวาย ข้อดีคือวันไหนอยากได้แบตไวๆ ก็เปิดสลับได้ทันที แต่ถ้ากลัวเครื่องร้อนหรือกังวลไม่อยากเปิดเต็มกำลัง จะช่วยลดความร้อนโดยรวมของเครื่องในขณะชาร์จ ก็สามารถสลับได้เลย สะดวกดีครับ
ทั้งสองรุ่นรองรับ 90W FlashCharge ที่ชาร์จได้เร็ว ชาร์จเพียงประมาณ 45 นาทีแบตเตอรี่ก็กลับมาเต็มแล้ว และยังรองรับ 40W Wireless FlashCharge สำหรับชาร์จแบบไร้สาย
มีระบบ Global Bypass Charging ที่ส่งไฟเลี้ยงตรงเข้าเครื่องโดยไม่ผ่านแบตเตอรี่ เช่นระหว่างเล่นเกม เพื่อลดอุณหภูมิและชะลอการเสื่อมของแบตเตอรี่ในระยะยาวได้ด้วย และสามารถทำ Wireless Reverse Charging ให้กับอุปกรณ์อื่นได้ยามฉุกเฉิน
สรุปเทียบสเปคทั้งสองรุ่น vivo X300 Pro และ vivo X300
สรุปท้ายรีวิว
vivo X300 Series เป็นสมาร์ตโฟนที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง ตั้งแต่การถือจับ วัสดุระดับพรีเมียม ไปจนถึงระบบกล้องที่พัฒนามาให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้น โดยเฉพาะกล้องเทเลโฟโต้ระดับ 200MP ของรุ่น X300 Pro ที่ให้คุณภาพใกล้เคียงกล้องโปรมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งระยะซูม ความคม และโหมดถ่ายภาพที่หลากหลาย ส่วนรุ่น X300 ก็ยังคงเด่นในด้านความคล่องตัว ความเบา และการให้ฟีเจอร์กล้องครบชุดไม่ต่างจากรุ่นพี่
ในด้านประสิทธิภาพ ทั้งสองรุ่นขับเคลื่อนด้วยชิป Dimensity 9500 ที่มีพลังมากพอสำหรับงานทุกอย่าง ความบันเทิงและการใช้งานหนักใดๆ ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ระบบนิ่ง พร้อม OriginOS 6 ที่ปรับดีไซน์มาใหม่หมด ตอบสนองให้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ และยังมีความสวยงามที่มาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ๆ ให้ปรับแต่งตามสไตล์บุคคลซึ่งใส่เอาไว้เยอะมาก รับรองใช้งานได้ถูกใจและสนุกกันแน่นอน
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ร่วมกับระบบชาร์จไว และยังออกแบบให้มีความทนทานสูงในการใช้งานระยะยาว ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมอัลลอยด์ มาตรฐาน IP68&IP69 เพิ่มความมั่นใจในการใช้งานได้แบบเต็มที่ในชีวิตประจำวัน
เมื่อมองโดยรวม X300 Series เป็นสมาร์ตโฟนที่เน้นความเป็นที่สุดของดีไซน์ กล้อง ความทนทาน และประสิทธิภาพ ทุกอย่างครบและอยู่บนมาตรฐานระดับไฮเอนทั้งหมด
และหากคุณต้องการเครื่องที่ทรงประสิทธิภาพ พร้อมกล้องถ่ายภาพที่รองรับได้ครบทุกสถานการณ์ ตอบสนองต่อการใช้งานในระดับดีที่สุด รุ่น Pro คือคำตอบที่ชัดเจน ส่วนผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องขนาดกะทัดรัดแต่ยังคงศักยภาพความแรง และกล้องเต็มระบบ รุ่น X300 จะเหมาะสมที่สุด
รวมถึงการนำเข้าอุปกรณ์เสริมเช่นชุดเลนส์ vivo ZEISS 2.35x Telephoto Extender และชุดกริปจับ ไม่ใช่ของทำมาโชว์เล่นๆ แต่ทำมาในระดับคุณภาพสูง เพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายภาพของสมาร์ตโฟนสองรุ่นนี้มากขึ้นไปอีก ต่อยอดประโยชน์ให้กับคนที่ต้องใช้การถ่ายภาพระยะไกล ไม่ว่าจะใช้ทำงานหรือใช้ในการท่องเที่ยว ยอดเยี่ยมและคุ้มค่าในทุกๆ ชิ้นแน่นอนครับ
ราคาและโปรโมชั่น vivo X300 และ vivo X300 Pro
vivo X300 Series เปิดราคาไทย — และชุดของแถมรวมมูลค่า 16,187 บาท
ราคา vivo X300 Series
vivo X300 Pro
-
16GB + 512GB — 39,999 บาท
-
สี: Earth Brown / Mist Blue / Phantom Black
-
วางขาย 28 พ.ย. 2568
vivo X300
-
12GB + 256GB — 31,999 บาท
-
16GB + 512GB — 34,999 บาท
-
สี: Halo Pink / Iris Purple / Phantom Black
อุปกรณ์เสริมสำหรับสายถ่ายรูป
สำหรับ X300 Pro
-
PGYTECH Imaging Grip Kit — 2,999 บาท
-
ZEISS 2.35x Telephoto Extender — 5,999 บาท
สำหรับ X300
-
ZEISS 2.35x Telephoto Extender — 5,999 บาท
ของแถมรวมมูลค่า 16,187 บาท
ซื้อ vivo X300 Series รับครบชุดแบบพรีเมียม:
-
vivo Life Bag มูลค่า 2,999 บาท
-
vivo Care+
– ขยายระยะรับประกันเครื่องเป็น 2 ปี
– ประกันหน้าจอแตกภายใน 2 ปี
(รวมมูลค่า 9,999 บาท) -
Magnetic Phone Case มูลค่า 1,299 บาท
-
Phone Tripod ขาตั้งมือถือ มูลค่า 890 บาท
ของแถม vivo Life Bag เฉพาะลูกค้าที่ซื้อพร้อม PGYTECH Grip Kit หรือ ZEISS Telephoto Extender เท่านั้นครับ




































































































































































