OPPO Find X9 Pro สมาร์ตโฟนกล้อง 200MP Hasselblad ที่ไม่ได้มีดีแค่การถ่ายภาพ
OPPO Find X9 Pro คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของ OPPO — สมาร์ตโฟนเรือธงกล้องเทพที่ไม่ได้คิดมาเพียงมิติเดียว แต่พยายามเน้นสร้าง “ประสบการณ์ใช้งานจริง” ให้เหนือกว่าในจุดที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้เมื่อใช้งานจริง
จุดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นระบบกล้อง Hasselblad Master Camera ที่รวมเซนเซอร์คุณภาพสูงกับเทคโนโลยีการประมวลผล LUMO Imaging Engine ถ่ายทอดภาพได้คม สีแม่น และให้มิติของแสงที่สมจริง พร้อมเลนส์เทเล 200MP ที่กล้าท้าชนทุกสมาร์ตโฟนในตลาด แต่อยู่ในขนาดโมดูลกล้องที่เหมาะสม ไม่เกะกะจนเป็นปัญหาในการถือใช้งานในขณะที่ไม่ได้ใช้งานกล้องถ่ายภาพ
การทำงานภายในขับเคลื่อนด้วยชิปพลังแรงสูง MediaTek Dimensity 9500 และระบบ Trinity Engine ที่จัดการพลังงานได้ฉลาด และเสริมเข้าไปด้วยแบตเตอรี่ Silicon-Carbon ขนาดใหญ่ 7500mAh ให้ความอึดของแบตที่อยู่ได้นานตลอดวัน และรองรับระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC และ ชาร์จไร้สาย 50W SUPERVOOC ทันใจไม่ต้องรอ ทั้งชาร์จแบบเสียบสายและไร้สาย
หน้าจอคุณภาพสูง เรือธงที่ขอบจอบางสุด มาพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
ด้านซอฟต์แวร์ ColorOS 16 คืออีกหนึ่งจุดเปลี่ยนใหญ่ของ OPPO — มันไม่ใช่แค่ลื่นขึ้น แต่ยัง "สวยขึ้น" และ "ฉลาดขึ้น" ด้วยชุดเครื่องมือ AI อย่าง AI Mind Space, AI Writer, AI Recorder ผสานการทำงานร่วมกับ Google Gemini ทำให้สมาร์ตโฟนกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวจริง ๆ ในการทำงานประจำวัน
สุดท้าย ดีไซน์ของ OPPO Find X9 Pro ก็ยังคงเอกลักษณ์ของความเรียบหรูในแบบ OPPO ด้วยวัสดุ Unibody Glass, โครงสร้างบางเพียง 8.25 มม., และความทนทานระดับ IP66, IP68 และ IP69 พร้อมปุ่มใหม่ Snap Key คือลิ้นชักจัดเก็บไอเดีย เป็นสิ่งเล็กๆ แต่อาจจะกลายเป็นความยิ่งใหญ่ในอนาคต
ทั้งหมดนี้รวมกันทำให้ Find X9 Pro ไม่ได้เป็นเพียง “สมาร์ตโฟนกล้องดี” แต่นี่คือ เรือธงที่สมดุลทั้งพลัง ประสิทธิภาพ ความสวย และความฉลาด และแน่นอนคือ การเป็นสมาร์ตโฟนกล้องเทพ ที่ยังไงก็เป็นจุดเด่นหลักของรุ่น
OPPO Find X9 Pro คือคำตอบสำหรับคนที่ต้องการมือถือที่ครบทุกด้านในเครื่องเดียว — ไม่ต้องเลือกระหว่างกล้องดี แบตอึด หรือระบบฉลาด หรือลังเลอยู่ระหว่างการให้ความสำคัญกับการถ่ายภาพหรือการใช้งานทั่วไป? เพราะมันมีทั้งหมดนั้นอยู่แล้วในชื่อเดียวกัน “OPPO Find X9 Pro.”
The Good
- กล้องเทเล 200MP Hasselblad ซูมไกลสุด 120x คมชัดแม้ครอป
- กล้องหลัก 50MP LYT-828 + อัลตร้าไวด์ 50MP + True Color Sensor ให้สีสมจริงทุกเลนส์ วิดีโอสูงสุด 4K 120fps พร้อมโหมดโปร
- กล้องหน้า 50MP AF รองรับวิดีโอ 4K 60fps พร้อม Dolby Vision HDR
- โมดูลกล้องใหม่ดีไซน์กะทัดรัด ไม่หนา ไม่เกะกะมือ ถือถ่ายแนวตั้ง–แนวนอนได้มั่นคง ใช้งานทั่วไปได้ถนัด
- ระบบภาพ LUMO Imaging Engine ลดนอยส์ ดึงรายละเอียด สีแม่นขึ้น
- โหมด Stage Mode เก็บคอนเสิร์ตได้ครบทั้งภาพ–เสียง พร้อม 4-Mic และ Focus Sound
- Hasselblad-Hires ซูม 3x ได้ในระดับความละเอียดสูงถึง 200MP
- แบต 7500mAh Silicon-Carbon อึด ชาร์จไว 80W SUPERVOOC และ ชาร์จไร้สาย 50W SUPERVOOC
- จอ 6.82
- ColorOS 16 ลื่นไหล สวยงาม (Luminous Rendering/Trinity Engine) พร้อมชุด OPPO AI
- โครงสร้างกล้องและตัวเครื่องผ่านการออกแบบแบบ Unibody Glass ดูพรีเมียมและแข็งแรง
- AI Mind Space เชื่อมต่อกับ Google Gemini สั่งสรุปโน้ต วางแผนงาน หรือค้นข้อมูลย้อนหลังได้ทันที
- ปุ่มใหม่ Snap Key เข้าถึง AI Mind Space ได้รวดเร็ว ใช้งานง่ายโดยไม่ต้องเปิดแอป
- กันน้ำกันฝุ่นระดับสูง IP66, IP68 และ IP69 ใช้งานได้มั่นใจ
The Bad
- ไม่รองรับการใส่ microSD Card เพิ่มเติม
- ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. บนตัวเครื่อง
-
ความคุ้มค่าต่อราคา
-
ประสิทธิภาพ
-
วัสดุและการประกอบ
-
กล้องถ่ายรูป
-
ฟังก์ชันและประโยชน์ในการใช้งาน
ปีนี้ OPPO กลับมาเขย่าวงการอีกครั้งกับ Find X9 Pro สมาร์ตโฟนรุ่นท็อปที่ชูจุดเด่นเรื่องกล้อง 200 ล้านพิกเซลจาก Hasselblad ซึ่งพัฒนาให้ถ่ายซูมได้คมชัดสุดในบรรดาสมาร์ตโฟนซีรีส์ Find ทั้งหมด มาพร้อมโหมด Stage Mode ที่ออกแบบมาเพื่อเก็บภาพคอนเสิร์ตและกิจกรรมบนเวทีโดยเฉพาะ รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุดระดับ 4K 120fps และใช้ระบบประมวลผลภาพใหม่ LUMO Image Engine ที่ช่วยจัดการรายละเอียด สี และนอยส์ได้แม่นยำกว่าเดิม
ในส่วนของงานออกแบบก็ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ Find ด้วยตัวเครื่องบางเพียง 8.25 มม. น้ำหนัก 224 กรัม ขอบจอบางสมมาตรเพียง 1.15 มม. และผ่านมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP66 / IP68 / IP69 ภายในขับเคลื่อนด้วยชิป MediaTek Dimensity 9500 บนสถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตร ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ 7500mAh Silicon-Carbon รุ่นใหม่ ที่รองรับทั้งชาร์จไว 80W SUPERVOOC และ ชาร์จไร้สาย 50W SUPERVOOC เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่แบตเตอรี่ใหญ่มากที่สุด
พกเครื่องเดียว จะไปเที่ยวที่ไหนก็ถ่ายสวย เที่ยวสนุก เพราะครบทั้งเรื่องกล้อง หน้าจอ และพลังขับเคลื่อนเต็มเปี่ยม
ใครที่สนใจก็มาดูกันให้ชัดว่าเบื้องหลัง ‘สมาร์ตโฟนกล้องมาสเตอร์’ ของ OPPO Find X9 Pro นั้น จะทำได้ดีแค่ไหน ตั้งแต่ดีไซน์ งานประกอบ ไปจนถึงสมรรถนะจริงในการใช้งาน ทั้งเรื่องกล้องถ่ายภาพและการใช้งานในด้านต่างๆ ของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ครับ
ในบทความนี้
ระบบกล้อง Hasselblad Master ของ OPPO Find X9 Pro
สิ่งที่ผมอยากพูดถึงเรื่องกล้องเป็นประเด็นแรกไม่ใช่เรื่องคุณภาพและเทคโนโลยีสุดล้ำในการถ่ายภาพที่มีอยู่ภายใน แต่เป็นเรื่องของดีไซน์และขนาดโมดูลกล้องในการออกแบบภายนอก ที่ทาง OPPO สามารถทำออกมาได้ในขนาดที่เล็กกว่าใคร บางกว่าใคร ไม่เกะกะมือเวลาถือใช้งานในวันปกติทั่วๆ ไป ไม่กินพื้นที่ไปถึงครึ่งเครื่องให้ถือจับลำบาก
ถือใช้งานนานๆ ก็จะไม่ปวดมือ จับได้ถนัดทั้งแนวตั้งและแนวนอน เป็นเครื่องในกลุ่มกล้องระดับเทพที่จัดให้อยู่ในขนาดที่กำลังดีได้แบบนี้ อันนี้ต้องชม และผมจะบอกว่ามันส่งผลต่อการใช้งานในชีวิตจริง แบบที่หลายคนอาจจะลืมนึกถึงข้อนี้ไป
มาในส่วนของเทคโนโลยีกล้อง มีอัดแน่นอยู่ในเครื่องขนาดกำลังพอดีมือเครื่องนี้แน่นอน
OPPO Find X9 Pro มาพร้อมกล้องหลัง 4 ตัวที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่สุดของทาง OPPO ที่พัฒนามาร่วมกันกับทาง Hasselblad โดยทั้งสี่เลนส์กล้องหลังและหนึ่งกล้องหน้ามีคุณสมบัติดังนี้
-
กล้องหลัก (Wide): 50MP LYT-828, ขนาด 1/1.28″, f/1.5, OIS, ระยะ 23 มม.
-
กล้องเทเลโฟโต (Telephoto): 200MP ISOCELL HP5 , ขนาด 1/1.56″, f/2.1, OIS, ระยะ 70 มม., ตัวนี้คือกล้องทีเด็ด ที่ทำให้ OPPO Find X9 Pro สามารถซูมภาพได้ชัดมากๆ รองรับการซูมภาพสูงสุด 120x และสามารถถ่ายภาพในโหมดบุคคลระดับความละเอียด 200MP เลยทีเดียว
-
กล้องอัลตร้าไวด์ (Ultra-Wide): 50MP ISOCELL JN5, ขนาด 1/2.75″, f/2.0, AF, ระยะ 15 มม.
-
กล้องสีจริง (True Color): 2MP Multispectral, 9-channel sensor, f/2.4, ระยะ 21 มม. กล้องที่เข้ามาช่วยวัดค่าสีของภาพ ให้ระบบสามารถนำปรับจูนให้ภาพดูสดใสแบบธรรมชาติ
-
กล้องหน้า (Front): 50MP ISOCELL JN5, ขนาด 1/2.75″, f/2.0, AF, ระยะ 21 มม. กล้องหน้าความละเอียดสูง คุณภาพอยู่ในระดับท็อปของวงการ
สิ่งที่ถูกพัฒนาเข้ามาใหม่ ไม่ใช่แค่โมดูลและฮาร์ดแวร์ในด้านตัวเซนเซอร์กล้องเพียงเท่านั้น แต่ยังมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังความคมและสีแม่นๆ ของ OPPO Find X9 Pro คือระบบประมวลผลภาพรุ่นใหม่ชื่อ LUMO Imaging Engine ที่ OPPO พัฒนาร่วมกับ MediaTek และ Sony ซึ่งเปลี่ยนกระบวนการสร้างภาพใหม่ทั้งหมด โดยถ่ายโอนขั้นตอนหลักจากเซนเซอร์ไปยังชิปประมวลผลโดยตรง ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอทำได้ต่อเนื่องได้นานขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง และไม่เกิดความร้อนสะสม
ซูม 13.2x ภาพคมกริบ! ซูม 120x ภาพก็ยังคม
จุดเปลี่ยนสำคัญของปีนี้อยู่ที่กล้องหลักคุณภาพสูง ทำงานร่วมกับเทเลโฟโตความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ที่พัฒนาและปรับแต่งร่วมกับ Hasselblad เป็นครั้งแรก ช่วยให้ได้ภาพซูมที่คมชัด สีไม่เพี้ยน ผลทดสอบของกล้อง OPPO Find X9 Pro คมมาก การซูมระดับ 6x คืออยู่ในระดับการซูมแบบออฟติคัล คมเหมือนเดินเข้าไปถ่าย
แม้จะซูมในระยะ 13.2x (ประมาณ 300mm) ซึ่งเป็นจุดแนะนำในโหมดกล้อง ภาพก็อยู่ในระดับหวังผลได้แบบคมๆ เลยครับ พลังการซูมคือความสุดยอดของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้
และด้วยอัลกอริทึม Super Resolution ที่ OPPO พัฒนาเอง ยังขยายระยะซูมได้สูงสุดถึง 120 เท่า โดยภาพยังคงความคมชัดและมีคอนทราสต์สมจริงภาพที่ต้องการความชัดสุด ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายในระยะไกลให้ดูใกล้ หรือนำมาใช้การถ่ายไม่ไกลแต่ให้ใกล้เข้ามาอีก คุณภาพดีมาก
โหมด Hasselblad Portrait คือจุดแข็งของ OPPO Find X9 Pro ที่ออกแบบให้ถ่ายพอร์ตเทรตได้ถึง 5 ระยะ ตั้งแต่ 23 มม. ไปจนถึง 85 มม. ภาพในโหมดบุคคลของ OPPO Find X9 Pro ให้โทนผิวเนียนดูสมจริงครับ ไม่ซีดหรือออกส้มเกินไป
จะเห็นว่าในแต่ละระยะ จะมีอารมณ์ของโบเก้ฉากหลังที่แตกต่างกัน เพราะทาง OPPO ได้ใส่เอฟเฟ็กต์โบเก้แบบกล้อง Hasselblad จาก 3 รุ่นคลาสสิกมาให้ในแต่ละระยะที่เหมาะสม โดยแต่ละเอฟเฟ็กต์จะให้บรรยากาศละมุนๆ เหมือนภาพยนตร์อยู่ในตัว ละมุนสไตล์ Hasselblad ครับ
ข้อเด่นคือไม่ว่าคุณจะเปิดใช้งานระยะไหน โหมดไหน กล้องบุคคลก็ถ่ายออกมาได้สวยทั้งการถ่ายกลางวันและกลางคืน ระบบสามารถคุมแสงและรายละเอียดให้ผิวดูนุ่มแต่คมชัดในทุกแสง จะสังเกตเห็นได้หลังภาพถูกโปรเซสเสร็จสิ้นแล้ว คมทุกภาพ
Hasselblad-Hires ถ่ายภาพบุคคลระดับ 200MP
OPPO Find X9 Pro นับเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกของวงการ ที่ให้การภาพภ่ายระดับ 50MP เป็นค่าความละเอียดพื้นฐานของกล้องได้ แต่อย่างไรไฮไลต์ของรุ่น ก็คือในโหมด Hasselblad-Hires เราจะสามารถถ่ายภาพซูม 3x ในระดับความละเอียดสูงถึง 200MP เป็นระดับความละเอียดที่่เราจะเห็นทั้งดวงตา เส้นผม ยันรายละเอียดของผิวหนังเก็บครบ! ถ้าต้องการ “รายละเอียด” ต้องแบบนี้แหละถึงจะเรียกว่า “รายละเอียด” ถ่ายแล้วครอปตัดใช้ภายหลังได้ทุกจุดที่เข้าระยะโฟกัส
แต่ไฟล์ภาพมีขนาดไม่ธรรมดาเลยนะครับ ความละเอียด 200MP ใช้พื่นที่เก็บไฟล์เกือบ 30MB เลยทีเดียว
Stage Mode ซูมดีทุกคอนเสิร์ต
เพราะ OPPO Find X9 Pro จะมี “Stage Mode” หรือโหมด “เวที” ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสภาพแสงจัดและแสงสีสลัวแบบเวทีแสงสีโดยเฉพาะ ระบบจะปรับคอนทราสต์และความคมอัตโนมัติเพื่อให้ได้ภาพนักแสดงชัดแม้มีไฟแฟลชแรงจากด้านหลัง จะเอามาซูมถ่ายในที่แสงน้อยก็ไม่หวั่นครับ ซูมได้สูงสุดถึง 120x ในโหมดเวที
Stage Mode รองรับทั้งการถ่ายภาพนิ่งและโหมดการถ่ายวิดีโอ โดยในโหมดวิดีโอจะทำงานร่วมกับระบบไมโครโฟน 4 ตัวในแบบ Studio-grade 4-Mic Recording เพื่อจับเสียงหลักของเวที ลดเสียงรบกวนรอบข้าง เราะสามารถเปิดฟังก์ชั่น “Focus Sound” เพื่อเน้นเสียงนักร้องหรือเครื่องดนตรีหลักได้ทันทีระหว่างถ่ายวิดีโอ — เรียกว่าออกแบบมาสำหรับ “มือถือถ่ายคอนเสิร์ตหรืองานแสดงสีสันตัวจริง”
Macro Telephoto เจาะลึก 10 เท่าในโลกมาโคร
เลนส์เทเลของเครื่องรุ่นนี้ยังทำหน้าที่เป็นเลนส์มาโครได้ในตัว มีระบบ Floating Focus Design ที่โฟกัสได้ใกล้สุดเพียง 10 เซนติเมตร เหมาะกับการถ่ายภาพระยะใกล้ที่ต้องการความคมละเอียดสูงแบบทะลุมิติ และด้วยพลังการซูมในโหมดมาโครได้ถึงระยะ 30x ภาพที่ได้เหมือนอยู่คนละโลก และคมกริบ! ความชัดระดับมืออาชีพที่เลนส์มาโครจริงหลายตัวอาจจะต้องชิดซ้าย เหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกเลยทีเดียว
และเมื่อทำการซูมในโหมดมาโคร เรายังสามารถกำหนดรูปแบบการเบลอของฉากหลังในโหมดมาโครได้ด้วยนะครับ อยากได้เบลออย่างเป็นธรรมชาติ หรือจะอยากให้ชัดลึกไปถึงด้านหลังก็เลือกได้ครับ
โหมด Hasselblad XPAN – มุมมองภาพยนตร์ที่อยู่ในมือ
อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของกล้อง Hasselblad ที่ OPPO นำมาใส่ใน OPPO Find X9 Pro คือโหมด XPAN ซึ่งจำลองประสบการณ์การถ่ายภาพพาโนรามาในอัตราส่วน 65:24 เหมือนกล้องฟิล์มระดับตำนานจากยุคอนาล็อก โดยโหมดนี้ให้ความรู้สึกเหมือน “ถ่ายหนังสั้นในภาพนิ่ง” ด้วยขนาดเฟรมยาวและโทนภาพแบบภาพยนตร์
โหมดนี้โดดเด่นมากในเชิงของอารมณ์ และโหมด XPAN ยังสืบทอดสไตล์ของกล้อง Hasselblad ได้อย่างครบถ้วน ใส่โทนภาพมาให้เลือกหลากหลายโทน ทั้งโทนสีเรียบหรู แสงนุ่ม สดใส และโทนแบบย้อนยุค แต่ละโทนมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว ช่วยให้ภาพที่ได้ดูมีอารมณ์ เหมาะกับทั้งสายถ่ายภาพแนวศิลป์และคนที่อยากลองเล่นแนว “ให้ภาพนิ่งเล่าเรื่อง”
สิ่งที่ทำให้ XPAN ใน OPPO Find X9 Pro โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้า คือการอัปเกรดความละเอียดสูงสุดระดับ 8K เพื่อให้ภาพพาโนรามามีความคมชัดและเก็บรายละเอียดได้เต็มเฟรม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายวิว สถาปัตยกรรม หรือภาพบุคคลในมุมกว้าง
ภาพสวย แปลกตา สัดส่วนโดดเด่นเฉพาะตัว
Motion Photo การอัปเกรด Live Photo ครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ภาพที่เคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
อีกหนึ่งลูกเล่นที่น่าสนใจของ OPPO Find X9 Pro คือโหมด Motion Photo (ทำงานคล้าย Live Photo) ที่ OPPO ออกแบบมาใหม่ ให้เราเก็บ “ภาพเคลื่อนไหวสั้น” ได้ละเอียดกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไป
เมื่อเปิดโหมด Motion Photo ระบบจะบันทึกคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่แทรกเข้ากับภาพนิ่งได้อัตโนมัติ เพื่อสร้างบริบทให้ภาพมีชีวิตมากขึ้น เช่น ภาพยิ้ม ภาพเดิน หรือช่วงโมเมนต์สำคัญที่มักพลาดไปในภาพนิ่งปกติ นอกจากนี้ยังสามารถ ดึงเฟรมออกมาเป็นภาพนิ่งได้ทุกเฟรมโดยไม่เสียความคม เพราะแต่ละเฟรมมีความละเอียดเทียบเท่าภาพถ่าย 8K เต็มรูปแบบ
โดยเฉพาะใน Hasselblad-Hires เราจะสามารถเปิดความสามารถ Motion 4K และนี่คือการถ่ายภาพเคลื่อนไหวบนความละเอียด 4K เต็มรูปแบบ ต่างจากมือถือส่วนใหญ่ที่จำกัดไว้เพียง 2K หรือ 1080p เท่านั้น
OPPO ยังเพิ่มฟีเจอร์เสริมใน Motion Mode เช่น
-
Collage Motion รวมภาพเคลื่อนไหวหลายคลิปให้กลายเป็นวิดีโอเดียว
-
4K SLOW-MO เปลี่ยนช่วงเวลาปกติให้กลายเป็นภาพสโลว์สุดนุ่ม
-
แชร์ตรงสู่ Instagram Reels ได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลงไฟล์
เรียกได้ว่าโหมด Motion Photo ของ OPPO Find X9 Pro ไม่ได้มีไว้แค่ “ถ่ายให้ขยับได้” แต่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้กว้างมา นำมาแยกเป็นภาพนิ่งได้อีกมากมาย หรือนำมาใช้เป็นฟุตเทจสำหรับคลิปสั้น หรือนำมาใช้เป็นภาพสโลว์โมชั่นที่เรากำหนดช่วงได้เองในภายหลัง โดยทั้งหมดถูกเก็บไว้ในไฟล์เดียวเท่านั้น
OPPO Find X9 Pro รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ Dolby Vision ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง และยังรองรับโหมดการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K 120fps บนกล้องหลักและกล้องเทเลโฟโต โดยยังคงระบบกันสั่นเอาไว้ได้นิ่งมาก งานวิดีโอก็เป็นระดับท็อปของวงการด้วยเช่นกัน
OPPO ยังใส่โหมด PRO Video ที่รองรับการบันทึก LOG Format เต็มรูปแบบ พร้อมมาตรฐาน ACES ระดับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ช่วยให้การเกรดสีและปรับโทนหลังถ่ายเป็นไปอย่างยืดหยุ่นและมืออาชีพที่สุดในสมาร์ตโฟนของ OPPO.
โหมด Hasselblad Master – ควบคุมภาพด้วยสไตล์มาสเตอร์
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ทำให้ OPPO Find X9 Pro แตกต่างจากสมาร์ตโฟนทั่วไป คือ “Hasselblad Master Mode” ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้ควบคุมการถ่ายภาพได้อย่างอิสระในระดับเดียวกับกล้องโปรจริง ๆ ทั้งการปรับค่า ISO, ความเร็วชัตเตอร์, สมดุลแสงขาว, ระยะโฟกัส และค่าชดเชยแสงได้อย่างละเอียดในทุกเฟรม พร้อมกับโปรไฟล์สีที่ถูกนำมาปรับแต่งให้เลียนแบบโทนและการเก็บสีของกล้อง Hasselblad ตัวจริง โทนภาพที่ได้จึงมีคาแรกเตอร์ชัดเจน
โหมดนี้ยังรองรับการถ่ายภาพในหลายรูปแบบ ได้แก่ JPAG MAX, RAW, RAW MAX สำหรับไฟล์ดิบคุณภาพสูงที่เก็บข้อมูลครบทุกพิกเซล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการนำไปตกแต่งต่อในภายหลัง
Hasselblad Master Mode คือเครื่องมือที่มอบความยืดหยุ่น เพื่อให้เป็นเครื่องมือที่ใกล้เคียงกับกล้องโปรให้กับมืออาชีพได้มากที่สุด
กล้องด้านหน้าของ OPPO Find X9 Pro มาพร้อมกล้องเซลฟีเซนเซอร์ Samsung ISOCELL JN5 ขนาด 1/2.75 นิ้ว พร้อมรูรับแสง f/2.0 ความละเอียดสูง 50 ล้านพิกเซล เป็นกล้องหน้าที่รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 60fps พร้อม Dolby Vision HDR และระบบ Auto Focus (AF) เต็มรูปแบบ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไม่กี่สมาร์ตโฟนที่มีกล้องหน้าระดับนี้ในตลาด
การประมวลผลภาพของกล้องหน้าถูกขับเคลื่อนด้วย LUMO Image Engine ชุดเดียวกับกล้องหลัก ทำให้สามารถจัดการแสงและโทนสีได้อย่างสมดุล มาพร้อมฟิลเตอร์และ AI ปรับใบหน้าได้ทุกส่วนแบบละเอียดในสไตล์กล้องหน้าของ OPPO
มีการใส่ AI สำหรับแก้ไขรูปภาพมาให้ใช้หลายตัวครับ ลบวัตถุหรือบุคคลในภาพ แก้ไขเพิ่มความคมชัด ปรับใบหน้าเนียน และแก้ไขใบหน้าของภาพหมู่ให้ได้หน้าที่สมบูรณ์มากที่สุดครบทุกคน และอีกต่างๆ มากมาย ใส่เข้ามาให้ครบ และทำงานได้ดี
แต่มีทีเด็ดของใหม่ ที่เอามาไว้กันเผื่อ กันเสีย กันพลาด ในจังหวะรูปที่ได้มานางแบบยังดูไม่ใส ไม่สด ไม่สว่างมากเท่าที่ต้องการ OPPO Find X9 Pro ยังเพิ่มฟีเจอร์ AI Portrait Glow ที่ใช้การแยกวัตถุแบบอัจฉริยะ (AI Segmentation) เพื่อปรับแสงเฉพาะจุดที่เป็นบุคคลได้อย่างแม่นยำ
เป็นการเพิ่มความสว่างแค่เพียงเฉพาะตัวบุคคลไม่ใช่ทั้งภาพ ทำให้เราสามารถรักษาสภาพแสงโดยรอบเอาไว้ทั้งหมดไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ปรับแค่ความสว่างบนตัวแบบเท่านั้นครับ โหมดนี้ถูกใส่เข้ามาให้ใหม่ล่าสุด
พูดได้เลยว่า OPPO Find X9 Pro เป็นสมาร์ตโฟนสายถ่ายภาพที่ให้ผลลัพธ์ระดับยอดเยี่ยมกับเราในทุกด้าน หวังผลได้เลย ทั้งความละเอียด, ความแม่นยำในการโฟกัส และระยะคมชัดในการซูม กล้อง 200MP Hasselblad Telephoto เข้ามาช่วยได้อย่างมาก ซูมภาพระยะ 13.2x ที่ทำได้ระดับนี้หาได้ยาก (มาก) เสริมด้วยโหมดซูม 3X ความละเอียด 200MP มีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นในตลาด
ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วย LUMO Imaging Engine ทำให้ OPPO Find X9 Pro เป็นสมาร์ตโฟนที่ “ครบทั้งเทคนิค ฟังก์ชั่น และคุณภาพของกล้องในระดับท็อปของวงการอย่างไม่ต้องสงสัย
และอย่าลืมว่าทั้งหมด อยู่ในโมดูลกล้องหลังที่ถูกปรับแต่งมาอย่างประณีต รูปทรงกะทัดรัดไม่เกะกะในการถือใช้งานทั้งแนวตั้งและแนวนอน นิ้วมือไม่บังเลนส์กล้อง แต่ตัวกล้องยังดูทรงพลังด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงดุดันแบบเครื่องเรือธง การออกแบบสวยงามและสอดคล้องไปกับการในชิวิตประจำวัน อันนี้คือหนึ่งในจุดสำคัญที่ผู้รีวิวไม่อยากให้มองข้ามจริงๆ
ColorOS 16 + AI – ลื่นไหล สวยงาม ฉลาด เข้าใจผู้ใช้มากกว่าเดิม
OPPO Find X9 Pro ทำงานบนระบบปฏิบัติการ ColorOS 16 ที่พัฒนาใหม่หมดทั้งโครงสร้าง ลื่นไหลได้อย่างเป็นธรรมชาติมากครับในการใช้งานจริง สวยงาม รวดเร็วและต่อเนื่องกันไปหมด ทั้งแอนิเมชันการเข้าออกแอป การเข้าใช้งานจากหน้าจอล็อค ทั้งหมดต่อเนื่อง มีความเป็น Seamless Animation ของจริง!
ไม่รู้สึกติดขัดหรือเจอช่วงสะดุด ระบบใหม่ของ OPPO ใช้เอนจินภาพเคลื่อนไหวใหม่ Luminous Rendering Engine และระบบจัดการประสิทธิภาพ Trinity Engine เข้ามาช่วยกับทุกการแตะ ปัด เปิด แม้ขณะรันหลายแอปพร้อมกันก็ยังคงเสถียรและไม่มีสะดุด
อินเทอร์เฟซยังถูกปรับให้ใช้งานง่ายขึ้นด้วยฟีเจอร์ Flux Home Screen ที่ปรับขนาดโฟลเดอร์และไอคอนได้อย่างอิสระ
Flux Theme สวยงามทุกธีม โหลดใช้งานได้ฟรี สวยทั้งภาพและอนิเมชั่นเคลื่อนไหว
จุดเด่นอีกอย่างของ ColorOS 16 คือโครงการ Project Breeze เป็นการออกระบบแบบให้ “ลื่นในทุกเครื่อง” ช่วยให้ได้ประสบการณ์การใช้งานในระดับแฟลกชิปเกิดขึ้นได้แม้ในรุ่นเริ่มต้น — แต่บน OPPO Find X9 Pro ซึ่งเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ก็จะยิ่งผลักดันให้ความลื่นไหลอยู่ในระดับสูงสุดเลยทีเดียว ผมการันตีความสวยงาม ความลื่นไหลของแอนิเมชัน ความต่อเนื่อง และการดูมีชีวิตชีวา ผมให้ไว้เต็ม 100 คะแนนเลยครับ
รวมถึงระบบ Aqua Dynamics ที่แสดงข้อมูลแบบย่อด้านข้างกล้องหน้า ที่สามารถโต้ตอบและดูข้อมูลได้โดยไม่ต้องเปิดแอป เช่น แสดงสถานะการเล่นเพลง การเดินทาง การทำงานของ AI หรือผลกีฬาแบบเรียลไทม์ เรียกทั้งหมดขึ้นมาดูได้ในคลิกเดียว
Wallpaper & Lock Screen – หน้าจอที่ขยับได้จริง
หน้าจอล็อกของ OPPO Find X9 Pro ใน ColorOS 16 มีให้เลือกเยอะมาก สวยงาม ปรับแต่งได้ทุกจุด และที่สำคัญสามารถนำ Motion Photo หรือภาพเคลื่อนไหวเข้ามาเป็นพื้นหลังได้แบบเต็มจอด้วย พร้อมเอฟเฟกต์ความลึกเล่นมิติระหว่างบุคคลในภาพ กับนาฬิกา
แต่ละอย่างสวยงามน่าใช้และยังมี Full-Screen Always-On Display (AOD) ที่แสดงเวลา การแจ้งเตือน และวิดเจ็ตเล็ก ๆ ได้โดยไม่ต้องปลดล็อกเครื่อง ซึ่งการสลับระหว่าง AOD กับหน้าล็อกสกรีน ยังต่อเนื่องเป็น Seamless Animation เขาใส่ใจมากจริงๆ ครับใน ColorOS 16 สวยไปหมดทุกจังหวะเลย
ColorOS 16 คือเวอร์ชันที่ OPPO ผลักดันระบบปัญญาประดิษฐ์ให้เป็นหัวใจของการใช้งาน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกับ Google Gemini ทำให้เกิดเป็นเครื่องมือ AI ที่หลากหลายให้เอาไว้ใช้อยู่ภายใน ตั้งแต่การจัดระเบียบข้อมูล การบันทึกเสียง ไปจนถึงการช่วยเขียนคอนเทนต์
โดยใน ColorOS 16 จะมีหน้าเมนูใหม่ใน Settings > AI ที่รวมทุกฟีเจอร์ AI ไว้ในจุดเดียว ผู้ใช้สามารถเปิด–ปิดฟีเจอร์ได้ตามต้องการ เป็นศูนย์กลางควบคุม AI ของ ColorOS แบบนี้ดีครับ ทำให้ผู้ใช้ใหม่สามารถทำความเข้าใจความสามารถของเครื่องตัวเองได้ง่ายมากขึ้น
AI Mind Space – ผู้ช่วยส่วนตัวที่เข้าใจคุณจริง ๆ
หนึ่งในฟีเจอร์ AI ที่โดดเด่นที่สุดของ ColorOS 16 คือ AI Mind Space พื้นที่อัจฉริยะที่ทำหน้าที่เหมือนคลังข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ เพียง “ปัดขึ้นสามนิ้ว” หรือ “กดปุ่ม Snap Key” (ปุ่มใหม่บนตัวเครื่อง OPPO Find X9 Pro) ก็สามารถบันทึกทุกสิ่งที่เห็นบนหน้าจอได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นภาพ ข้อความ หรือบันทึกเสียง หรือแม้แต่ตารางงาน
AI จะจัดเก็บ วิเคราะห์ และแยกหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ เพื่อให้เรียกดูหรือค้นหาภายหลังได้ง่ายมาก ความพิเศษคือระบบนี้ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับ Google Gemini ทำให้สามารถสั่งถามหรือให้ Gemini วิเคราะห์ข้อมูลใน Mind Space ได้ เช่น
“ช่วยสรุปโน้ตประชุมจากที่ฉันเก็บไว้เมื่อวาน”
“วางแผนทริปญี่ปุ่นโดยใช้บทความที่ฉันบันทึกไว้ใน Mind Space”
Gemini จะดึงข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลผลควบคู่กับข้อมูลเรียลไทม์ เช่น สภาพอากาศ หรือแผนที่ เพื่อสร้างคำตอบและข้อเสนอแนะเฉพาะตัว เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวที่ “รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่” อยู่ในเครื่อง
AI Recorder – เครื่องบันทึกเสียงอัจฉริยะ
AI Recorder ออกแบบมาสำหรับการประชุมและการบรรยายโดยเฉพาะ สามารถถอดเสียงพูดแบบเรียลไทม์ระหว่างการบันทึก พร้อมระบุได้ว่า “ใครพูดอยู่” ในวงสนทนา หลังจบการบันทึก ระบบจะสร้างหัวข้อและสรุปประเด็นสำคัญให้อัตโนมัติ และยังเลือก “รูปแบบการสรุป” ได้ เช่น สรุปประชุม สรุปสัมภาษณ์ หรือสรุปบรรยาย
ไฟล์เสียงและข้อความสามารถส่งออกได้ทั้ง PDF หรือ Word เพื่อแชร์ต่อได้ทันที เรียกว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การเก็บข้อมูลเสียงกลายเป็นเอกสารพร้อมใช้งานในคลิกเดียว
AI Translation – แปลได้ครบ จากทุกที่มา
ความสามารถในการแปลภาษาได้ทั้ง ภาพ, แปลจากหน้าจอ, ไฟล์เอกสาร, เสียง, และการสนทนา เรียกได้ว่าแปลได้ทุกสื่อและทุกรูปแบบ
พร้อมใช้งานในรูปแบบล่ามแปลภาษาเวลาไปใช้งานเมืองนอก หรือคุยกับชาวต่างชาติแบบหน้าสองสนทนาสองฝั่ง พร้อมการออกเสียงที่เรากำหนดได้ว่าจะเอาเป็นเสียงผู้ชายหรือผูู้หญิง รองรับได้แล้วมากกว่า 30 ภาษารวมถึงภาษาไทย
AI ตัวช่วยการโทร – แปลสดผ่านการโทรสนทนา
OPPO Find X9 Pro รองรับความสามารถในการแปลภาษาขณะโทรสนทนาได้แบบเรียลไทม์ เปลี่ยนคำพูดของเรา ให้กลายเป็นภาษาที่ปลายทางเข้าใจ และให้เราได้ยินเสียงที่ถูกแปลแล้วด้วย AI ออกมา กำหนดภาษาที่ต้องการได้ทั้งสองฝั่ง ความสามารถนี้จะปรากฏขึ้นมาในขณะที่เรารับสายหรือโทรออกครับ จากการทดสอบอาจจะมีคำพูดหลายครั้งที่ตัว AI จับประโยคไม่ตรง 100% มีผิดพลาดให้เห็นบ่อย แต่เราสามารถอ่านตามสิ่งที่มันจับเอาไว้ได้ครับ ว่าถูกต้องหรือไม่
AI Writer – ผู้ช่วยเขียนที่เข้าใจบริบท
AI Writer คือผู้ช่วยเขียนที่ฝังอยู่ในระบบ ColorOS โดยตรง สามารถใช้ได้ทั้งในแอป Notes และแอปภายนอก เช่น Instagram หรือ Facebook ฟีเจอร์นี้ช่วยตรวจคำ เขียนอีเมล จัดเรียงเนื้อหา หรือสร้างแคปชันบนโซเชียลให้น่าสนใจได้ทันที
AI Writer ยังช่วยจัดโครงความคิดในรูปแบบ Mind Map หรือ Spreadsheet ได้อัตโนมัติ เหมาะสำหรับนักเขียน ครีเอเตอร์ หรือผู้ทำงานที่ต้องจัดข้อมูลให้ชัดเจนและรวดเร็ว
AI VoiceScribe – คำบรรยายถอดเสียง พร้อมแปลและสรุปให้ครบ
การถอดเสียงออกมาเป็นข้อความ พร้อมกับแปลและสรุปให้ได้ด้วยถ้าต้องการ สามารถถอดเสียงออกมาได้หมดจากแอปการประชุม, แอปสตรีมมิ่งวิดีโอ สามารถดูคลิป Youtube ในภาษาต่างประเทศได้เข้าใจ แถมยังสามารถสรุปเนื้อหานั้นให้เพื่อจะได้อ่านเข้าใจง่ายๆ อย่างรวดเร็ว
สรุปแล้ว ColorOS 16 บน OPPO Find X9 Pro ไม่ได้เป็นเพียงระบบปฏิบัติการที่ “ลื่นขึ้น” แต่ยัง “ฉลาดขึ้น” AI เข้าใจบริบทของผู้ใช้แบบเรียลไทม์ ช่วยงานเราได้ ไปจนถึงข่วยสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้ง่ายกว่าเดิมด้วย
นอกจากนี้ในการทำงานต่างๆ ของ AI ยังมีระบบป้องกันข้อมูลส่วนตัวผ่าน Private Computing Cloud ที่เข้ารหัสทุกการจัดเก็บให้ปลอดภัย ไม่มีการส่งต่อข้อมูลสู่บุคคลที่สาม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกสิ่งที่อยู่ในระบบเครื่องเป็นของคุณคนเดียวจริง ๆ
และยังมีระบบ “โทรเพื่อล็อก” ที่ทางฝ่ายบริการลูกค้าของ OPPO จะช่วยล็อกเครื่องจากระยะไกลให้ได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุผิดปกติ เช่น เครื่องหาย ถูกขโมย เราก็ยังมีโอกาสในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวได้ในอีกขั้นหนึ่ง
ประสิทธิภาพและแบตเตอรี่ – แรง สมดุล และใช้งานได้ทั้งวัน
OPPO Find X9 Pro มาพร้อมขุมพลังรุ่นใหม่ MediaTek Dimensity 9500 ที่พัฒนาในกระบวนการผลิตระดับ 3 นาโนเมตร ซึ่งเป็นชิปเรือธงที่ออกแบบมาเพื่อ “ประสิทธิภาพสูงสุด” และ “การควบคุมพลังงานอัจฉริยะ”
ตัวชิปทำงานร่วมกับระบบ Trinity Engine ที่ OPPO พัฒนาขึ้นเอง เพื่อจัดสรรพลังซีพียูและจีพียูให้เหมาะสมกับการใช้งานแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมระดับสูง การถ่ายวิดีโอ 4K ต่อเนื่อง หรือการสลับหลายแอปพร้อมกันก็ยังคงความเสถียรและไม่ร้อนจัด
เล่นได้ทุกแอป ลื่นไหลทุกเกม จะเป็นเกมระดับกราฟิกไหน สเปกนี้คือแรงที่สุดแล้วจากค่าย MediaTek เล่นได้หมด 100%

อีกหนึ่งในจุดเด่นที่ OPPO Find X9 Pro ภูมิใจนำเสนอคือแบตเตอรี่รุ่นใหม่แบบ Silicon-Carbon ความจุ 7500mAh ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในสมาร์ตโฟนเรือธงของ OPPO ณ ตอนนี้ จุดเด่นของเซลล์ชนิดนี้คือความหนาแน่นพลังงานสูงและอัตราการเสื่อมต่ำ ทำให้ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานตลอดแบบข้ามวันโดยไม่ต้องชาร์จ และยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากกว่า 5 ปี โดยที่ยังคงรักษาความจุไว้ได้มากกว่า 80%
จริงๆ แล้วในระบบของ OPPO Find X9 Pro จะมีระดับการใช้พลังงานให้เราเลือก 3 ระดับนะครับ สมดุล, ประหยัดพลังงาน และเน้นประสิทธิภาพสูงสุด ในการทดสอบใช้งานผมเลือกในระดับสมดุลเอาไว้ ก็แรงเพียงพอต่อทุกการทำงานแล้ว แต่ต่อให้เราเปิดโหมดประสิทธิภาพ ก็ยังสามารถใช้ได้นานเต็มวันสบายๆ อยู่ดีครับ กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่แบบนี้ และสามารถชาร์จไฟกลับให้อุปกรณ์อื่นแบบไร้สายได้ด้วยเช่นกัน
รองรับระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC และ ชาร์จไร้สาย 50W SUPERVOOC ที่ช่วยให้เติมพลังกลับได้อย่างรวดเร็ว โดยชาร์จเพียง 10 นาที ก็สามารถกลับมาใช้งานต่อได้หลายชั่วโมง ยังมีระบบจัดการอุณหภูมิแบบอัจฉริยะ ป้องกันไม่ให้เครื่องร้อนเกินขณะชาร์จหรือใช้งานหนัก ไม่มีความร้อนสะสมให้รู้สึกต้องเป็นกังวลเลยตลอดการทดสอบใช้งาน
OPPO Find X9 Pro แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เน้นแค่เรื่องกล้องเท่านั้น แต่ยังจัดมาเป็นเรือธงด้านประสิทธิภาพของเครื่องด้วย ให้การใช้งานจริงในระดับสูงสุดของสมาร์ตโฟนได้ครบถ้วน อุปกรณ์ภายในกล่องก็จะมีเคสซิลิโคน และที่ชาร์จ 80W SUPERVOOC แถมมาให้เลยครับ
หน้าจอและระบบเสียง – สวย คม การแสดงผลที่สมบูรณ์แบบ
หน้าจอแสดงผล Ultra Vision Display ขอบจอบางสมมาตรเพียง 1.15 มิลลิเมตร ให้พื้นที่การแสดงผลเต็มตาแทบจะไร้ขอบ เป็นจอขนาดใหญ่ถึง 6.82 นิ้ว LTPO AMOLED ให้สีสันแบบ 10-bit Color Depth รองรับมาตรฐาน HDR10+, และการแสดงผลแบบ ProXDR ที่ช่วยให้ภาพถ่ายและวิดีโอจากกล้อง Hasselblad แสดงเฉดสีได้ครบถ้วนสมจริงตามต้นฉบับ ไม่เพี้ยนหรือโอเวอร์น้ำหนักสี ความละเอียดสูง QHD+ (3168 × 1440 พิกเซล) รองรับอัตรารีเฟรชสูงสุด 120Hz Adaptive Refresh Rate
จอรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยี Luminous Display Engine ที่ช่วยควบคุมความสว่างและคอนทราสต์ของแต่ละพิกเซลแบบเรียลไทม์ ทำให้การแสดงผลในสภาพแสงจ้า เช่น กลางแดด หรือในคอนเสิร์ตที่มีแสงแฟลชแรง ยังคงคมชัดและอ่านได้ง่าย โดยมีความสว่างสูงสุดถึง 1,800 nits และต่ำสุดได้ถึงในระดับ 1nit เท่านั้น ทั้งในที่มืดและในที่แสงจ้าก็พร้อมใช้งานได้อย่างดีที่สุดเสมอ
หน้าจอนี้ยังใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic In-Display Fingerprint Sensor ที่ตอบสนองได้รวดเร็วและแม่นยำกว่าระบบออปติคัลทั่วไป ใช้งานได้แม้นิ้วเปียกหรือหน้าจอมีหยดน้ำ
ด้านเสียง OPPO Find X9 Pro ใช้ลำโพงคู่ Stereo Dual Speaker ที่ปรับจูนโดยทีมเสียงของ OPPO ให้มีมิติและความสมดุลระหว่างเสียงพูด เสียงดนตรี และเอฟเฟกต์รอบตัว รองรับระบบเสียง Dolby Atmos เต็มรูปแบบ ทั้งในการดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกม ลำโพงดังแบบมีพลัง เนื้อเสียงมาเต็ม ใช้งานภายนอกได้ยินชัด ใช้งานให้ห้องเสียงแบบไม่ต้องต่อลำโพงเพิ่ม
ดีไซน์และวัสดุตัวเครื่อง – บาง แข็งแรง บนความหรูที่ลงตัว
OPPO Find X9 Pro ยังคงเอกลักษณ์การออกแบบแบบ “สมมาตร” ที่เน้นความเรียบหรูและสมดุล ตัวเครื่องบางเพียง 8.25 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 224 กรัม แม้ใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 7,500mAh พร้อมโมดูลกล้องถ่ายภาพระดับโลก ก็ยังคงให้สัมผัสที่บางและถือได้มั่นคงในมือ
ฝาหลังผลิตด้วยเทคนิค Unibody Glass Design ที่ขึ้นรูปชิ้นเดียวทั้งแผ่น แล้วหลอมเข้ากับขอบเลนส์กล้องแบบไม่มีรอยต่อ ให้ผิวสัมผัสรู้สึกเรียบเนียนไปรอบตัวเครื่อง การสะท้อนแสงเงาจะดูต่อเนื่องราวกับเป็นพื้นผิวเดียวกันทั้งเครื่อง
โครงสร้างภายในใช้การวางชั้นแบบ Stacked Architecture เพื่อให้ชิ้นส่วนกล้องและแบตเตอรี่จัดเรียงได้อย่างกะทัดรัด ลดน้ำหนักส่วนบนของเครื่อง ทำให้ตัวเครื่องรู้สึกสมดุล เวลาถือถ่ายภาพหรือถือใช้งานมือเดียว
ขอบจอทั้งสี่ด้านบางเท่ากันเพียง 1.15 มม. ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาร์ตโฟนจอขอบบางที่สุดในตลาด ให้ความรู้สึก “เต็มหน้าจอ” จริงโดยไม่มีด้านใดเด่นหรือขาดสมดุล การออกแบบนี้ยังช่วยให้การแสดงผลดูสมมาตรสบายตาโดยไม่ต้องพึ่งขอบจอโค้ง
รายละเอียดเล็ก ๆ เช่น ช่องไมค์ ลำโพง และพอร์ตเชื่อมต่อ ก็ยังถูกออกแบบในสไตล์มินิมอล ซ่อนแนบเนียนอยู่ใต้โครงเครื่อง ทำให้ภาพรวมของ OPPO Find X9 Pro ดูเรียบ สะอาดตา และหรูในแบบที่ไม่ต้องพยายาม
ตัวเครื่องมีให้เลือกสองสีในประเทศไทย ได้แก่
-
Silk White (สีขาวเนื้อซาติน) ให้สัมผัสเรียบเนียน คล้ายพื้นผิวเซรามิก
-
Titanium Charcoal (สีเทาไทเทเนียม) ดูหรู มีเหลื่อมเงาแบบเบา สีเทาที่สะท้อนแสงดูมีมิติ
นอกจากความสวยงามแล้ว OPPO Find X9 Pro ยังผ่านมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP66, IP68 และ IP69 ทนแรงดันน้ำได้จากทุกทิศทาง ใช้งานได้อย่างมั่นใจทั้งในชีวิตประจำวันและสถานการณ์กลางแจ้ง ตกน้ำ โดนน้ำ หรือนำไปล้างน้ำได้ไม่มีปัญหา
Snap Key และ Quick Button – ปุ่มจริงที่ทำให้ AI ใช้งานได้จริง
ในยุคที่สมาร์ตโฟนส่วนใหญ่ลดจำนวนปุ่มลงเรื่อย ๆ OPPO Find X9 Pro กลับเลือกเพิ่ม “ปุ่มที่มีความหมาย” อย่าง Snap Key เข้ามา เป็นปุ่มพิเศษที่อยู่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงฟีเจอร์สำคัญได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะระบบ AI Mind Space
เพียง กดปุ่ม Snap Key หนึ่งครั้ง ระบบจะเปิด AI Mind Space เพื่อให้ผู้ใช้บันทึกภาพ ข้อความ หรือข้อมูลบนหน้าจอในทันที ส่วน การกดค้างไว้ จะสั่งให้เครื่องบันทึกเสียงพร้อมแนบเข้าใน Mind Space แบบเรียลไทม์ทันที เหมาะมากสำหรับเวลาประชุม ฟังบรรยาย หรือเกิดไอเดียสำคัญ รวมถึงเห็นข้อมูลบนจอที่อยากบันทึกเอาไว้โดยไม่ใช่แค่การแคปภาพ แต่เป็นการให้ AI รับรู้ไปพร้อมกันด้วยว่าข้อมูลบนหน้าจอคืออะไร
นอกจากนี้ OPPO ยังออกแบบให้ Snap Key ทำงานได้กับการทำงานอื่นๆ อีกมากมาย ให้เราสามารถกำหนดค่าได้เองด้วย
สิ่งที่บันทึกนี้ไว้ใน Mind Space หรือจะทำงานอ้างอิงกับ Gemini สามารถช่วยสรุป ใช้ข้อมูลวิเคราะห์ตามคำสั่งได้ เช่น “สรุปสิ่งที่ฉันเพิ่งเก็บไว้เมื่อกี้ให้ที” เป็นต้น
อีกหนึ่งปุ่มคือ Quick Button คือปุ่มเรียกใช้กล้องด่วน กดสองครั้งเพื่อเข้าโหมดกล้องหรือถ่ายภาพในทันที ใช้เป็นปุ่มชัตเตอร์ รวมถึงรองรับการสไลด์เพื่อใช้แทนการซูมภาพได้เป็นต้น
Snap Key และ Quick Button คือการออกแบบที่เป็นการลงทุน ให้ความสำคัญกับประโยชน์ของผู้ใช้ไปพร้อมกับความสวยงามของตัวเครื่อง การกดเพียงครั้งเดียวเพื่อบันทึก จัดเก็บไอเดีย รวบรวมข้อมูล และถ่ายภาพทันที ไม่ต้องเปิดเมนูหรือพูดคำสั่งเสียงใดๆ เปลี่ยนมือถือให้กลายเป็นลิ้นชักบรรจุความคิด ที่อาจจะจุดประกายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จนเรานึกเสียดายที่วันนั้นเราไม่มีเครื่องมือใดๆ ที่สะดวกมากพอจะบันทึกสิ่งนั้นไว้ และปล่อยให้มันหายไป
เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ – เร็ว เสถียร และฉลาดในทุกสภาพสัญญาณ
อีกหนึ่งจุดที่ OPPO Find X9 Pro พัฒนาให้เหนือขึ้นกว่ารุ่นก่อนคือระบบการเชื่อมต่อที่ฉลาดและยืดหยุ่นมากกว่าเดิม เครื่องนี้รองรับ Dual Wi-Fi Connection ที่สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi 2.4GHz และ 5GHz ได้พร้อมกัน เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของสัญญาณและลดการดีเลย์ ทำให้การสตรีม ดูคอนเทนต์ในแอปที่รองรับ มีความต่อเนื่องไม่สะดุด
นอกจากนี้ยังรองรับ eSIM ซึ่งสามารถใช้แทนซิมการ์ดช่องที่ 2 ได้ทันที เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้เบอร์หลักและเบอร์ทำงานในเครื่องเดียวโดยไม่ต้องใส่ซิมเพิ่ม ตัวเครื่องยังคงรองรับ 5G แบบ SA/NSA ครบทุกย่านความถี่หลัก
ในด้านความฉลาดของสัญญาณ OPPO Find X9 Pro มาพร้อมเทคโนโลยี AI LinkBoost ที่ใช้ AI วิเคราะห์คุณภาพสัญญาณแบบเรียลไทม์ และเร่งคุณภาพการเชื่อมต่อให้เหมาะกับสถานการณ์ เช่นสลับไปจับสัญญาณที่แข็งแรงที่สุดโดยอัตโนมัติ ทั้งสัญญาณมือถือและ WiFi ลดการพอเจอปัญหาสัญญาณอ่อน หลุดสัญญาณ และช่วยเสริมความว่องไวในการจับสัญญาณที่ใช้งานได้ในพื้นที่อัปสัญญาณ
เสริมด้วยระบบ BeaconLink ที่ช่วยให้ยังสามารถโทรหาหรือส่งข้อความถึงกันได้ระหว่างอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยีเดียวกัน แม้จะอยู่ในพื้นที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตหรือสัญญาณโทรศัพท์ด้วยสัญญาณบลูทูธ เป็นความสามารถสำหรับการติดต่อในภาวะฉุกเฉิน เช่นอยู่ในป่า อัปสัญญาณ หรือในกรณีที่เครือข่ายในบริเวณล่มใช้งานไม่ได้
O+ Connect – เชื่อมโลก Android และ iPhone ให้ทำงานร่วมกันได้จริง
อีกหนึ่งความสามารถที่น่าสนใจของ OPPO Find X9 Pro คือระบบ O+ Connect ฟีเจอร์การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ iPhone ได้ถูกขยายการเชื่อมต่อออกไป ไม่ได้จำกัดแต่การส่งไฟล์ให้กันได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับ iPhone ได้โดยตรง
เมื่อเปิดใช้งาน O+ Connect ตัวเครื่อง OPPO Find X9 Pro จะสามารถซิงก์กับ iPhone เพื่อรับ การแจ้งเตือน สายโทรเข้า และข้อความ ได้แบบเรียลไทม์ — เรียกได้ว่าหากคุณวาง iPhone ไว้ในกระเป๋า ก็ยังสามารถ รับสาย พูดคุย หรือดูข้อความ ได้จาก OPPO Find X9 Pro ทันทีโดยไม่ต้องหยิบ iPhone ขึ้นมาเลย
เหมาะสำหรับคนที่ใช้ iPhone เป็นเครื่องหลัก แต่ต้องการพก OPPO Find X9 Pro อีกเครื่องเพื่อใช้งานแยก เช่น งานหรือคอนเทนต์ ใช้งานกันได้ข้ามระบบแบบไม่มีรอยต่อ
สรุปท้ายรีวิว – สมาร์ตโฟนเรือธงที่รวมทุกความสุดไว้ครบในเครื่องเดียว
OPPO Find X9 Pro คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของ OPPO — สมาร์ตโฟนเรือธงกล้องเทพที่ไม่ได้คิดมาเพียงมิติเดียว แต่พยายามเน้นสร้าง “ประสบการณ์ใช้งานจริง” ให้เหนือกว่าในจุดที่ผู้ใช้จะสัมผัสได้เมื่อใช้งานจริง
จุดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นระบบกล้อง Hasselblad Master Camera ที่รวมเซนเซอร์คุณภาพสูงกับเทคโนโลยีการประมวลผล LUMO Imaging Engine ถ่ายทอดภาพได้คม สีแม่น และให้มิติของแสงที่สมจริง พร้อมเลนส์เทเล 200MP ที่กล้าท้าชนทุกสมาร์ตโฟนในตลาด แต่อยู่ในขนาดโมดูลกล้องที่เหมาะสม ไม่เกะกะจนเป็นปัญหาในการถือใช้งานในขณะที่ไม่ได้ใช้งานกล้องถ่ายภาพ
การทำงานภายในขับเคลื่อนด้วยชิปพลังแรงสูง MediaTek Dimensity 9500 และระบบ Trinity Engine ที่จัดการพลังงานได้ฉลาด และเสริมเข้าไปด้วยแบตเตอรี่ Silicon-Carbon ขนาดใหญ่ 7,500mAh ให้ความอึดของแบตที่อยู่ได้นานตลอดวัน และรองรับระบบชาร์จเร็วทันใจที่ไม่ต้องรอ ทั้งชาร์จแบบเสียบสายและไร้สาย
หน้าจอคุณภาพสูง เรือธงที่ขอบจอบางสุด มาพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
ด้านซอฟต์แวร์ ColorOS 16 คืออีกหนึ่งจุดเปลี่ยนใหญ่ของ OPPO — มันไม่ใช่แค่ลื่นขึ้น แต่ยัง “สวยขึ้น” และ “ฉลาดขึ้น” ด้วยชุดเครื่องมือ AI อย่าง AI Mind Space, AI Writer, AI Recorder ผสานการทำงานร่วมกับ Google Gemini ทำให้สมาร์ตโฟนกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวจริง ๆ ในการทำงานประจำวัน
สุดท้าย ดีไซน์ของ OPPO Find X9 Pro ก็ยังคงเอกลักษณ์ของความเรียบหรูในแบบ OPPO ด้วยวัสดุ Unibody Glass, โครงสร้างบางเพียง 8.25 มม., และความทนทานระดับกันน้ำกันฝุ่น IP66, IP68 และ IP69 พร้อมปุ่มใหม่ Snap Key คือลิ้นชักจัดเก็บไอเดีย เป็นสิ่งเล็กๆ แต่อาจจะกลายเป็นความยิ่งใหญ่ในอนาคต
ทั้งหมดนี้รวมกันทำให้ OPPO Find X9 Pro ไม่ได้เป็นเพียง “สมาร์ตโฟนกล้องดี” แต่นี่คือ เรือธงที่สมดุลทั้งพลัง ประสิทธิภาพ ความสวย และความฉลาด และแน่นอนคือ การเป็นสมาร์ตโฟนกล้องเทพ ที่ยังไงก็เป็นจุดเด่นหลักของรุ่น
OPPO Find X9 Pro คือคำตอบสำหรับคนที่ต้องการมือถือที่ครบทุกด้านในเครื่องเดียว — ไม่ต้องเลือกระหว่างกล้องดี แบตอึด หรือระบบฉลาด หรือลังเลอยู่ระหว่างการให้ความสำคัญกับการถ่ายภาพหรือการใช้งานทั่วไป? เพราะมันมีทั้งหมดนั้นอยู่แล้วในชื่อเดียวกัน “OPPO Find X9 Pro.”
ราคาและโปรโมชั่น
OPPO Find X9 Pro วางจำหน่ายในไทยที่ราคา 42,999 บาท (รุ่น 16GB + 512GB) เปิดจองวันนี้รับของสมนาคุณรวมมูลค่าสูงสุด 13,347 บาท ได้แก่
- E-VIP Card
- หูฟัง OPPO Enco X3s
- สิทธิใช้งาน Google AI Pro ฟรี 3 เดือน
- Luxury Magnetic Case (ขึ้นอยู่กับช่องทางจำหน่าย)
อีกทั้งยังมีโปรจากโอเปอเรเตอร์ ลดสูงสุด 11,000 บาท เมื่อซื้อพร้อมแพ็กเกจ และยังสามารถซื้อคู่กับ OPPO Enco X3s รับส่วนลดเพิ่มอีก 1,500 บาท จากราคาเดี่ยวของหูฟังคือ 4,999 บาท















































































































































