สวัสดีเช้าวันจันทร์ครับ ผมนาย Joker ซึ่งมารับหน้าที่บทความชวนคุยยามเช้าประจำวันจันทร์ (จริงๆผมจะเขียนประจำวันอังคารนะครับ แต่อาทิตย์นี้เราสลับกันวันนึงฮะ^^) สำหรับวันนี้ผมจะมาชวนเพื่อนๆดูหนังกันครับ ซึ่งหนังที่ผมอยากจะมาแนะนำในวันนี้เป็นหนังรีเมกของหนังระดับตำนาน Mad Max ที่สร้างชื่อให้กับ Mel Gibson กลายมาเป็นนักแสดงชื่อดังจนถึงทุกวันนี้ (แม้ช่วงหลังๆแกจะมาดีแตกตอนวัยชราก็ตาม) Mad Max เป็นหนังแนว Dystopia ชื่อดังสำหรับหนังแนวนี้หมายถึงสังคมในจินตนาการในแง่ของความโหดร้าย รุนแรง ซึ่งจะตรงข้ามกับคำว่า Utopia ซึ่งจะหมายถึงสังคมที่สมบูรณ์แบบ
ซึ่งในตอนนั้น Mad Max ดังมากๆครับและมีการสร้างออกมาถึง 3 ภาคด้วยกันได้แก่ Mad Max (1979), Mad Max 2 : The Road Warrior (1981) และ Mad Max 3 : Beyond Thunderdome (1985) ซึ่งทั้ง 3 ภาคนำแสดงโดย Mel Gibson และกำกับโดย George Miller ซึ่งโดยส่วนตัวผมชื่นชอบหนังชุดนี้มากครับ เพราะคุณพ่อผมที่จากไปท่านชอบหนังชุด Mad Max มากๆเลย และหนังชุด Mad Max ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังหลายๆเรื่องหลังจากนั้น รวมทั้งการ์ตูนญี่ปุ่นระดับตำนานอย่าง หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ ด้วยนะครับ
สำหรับฉบับรีเมก Mad Max : Fury Road หรือจะเรียกได้ว่าเป็นภาคที่ 4 ของหนังชุดนี้ก็ยังคงกำกับโดย George Miller เช่นเคยครับเป็นการกลับมาที่ได้รับคำชมอย่างท่วมท้นจริงๆ ซึ่งตัวหนังเองก็ทำได้สมกับคำชมจริงๆครับ ทุกอย่างดูยิ่งใหญ่และบ้าคลั่งอย่างถึงที่สุด จนแทบจะหายใจไม่ออกกันเลยทีเดียว
Mad Max : Fury Road นี่เล่นเอาผมแทบไม่อยากเชื่อเลยครับว่าจะออกมาดีได้ขนาดนี้ สำหรับเนื้อหาของภาคนี้เริ่มต้นในโลกที่สังคมล่มสลาย สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมและโหดร้ายจากภัยวิกฤตสงครามนิวเคลียร์ ผู้คนล้วนสิ้นหวัง และกลายเป็นคนเถื่อน สังคมกลายเป็นโลกของปลาใหญ่กินปลาเล็ก น้ำและน้ำมัน รวมทั้งผู้หญิงกลายเป็นสิ่งล้ำค่า เนื้อเรื่องเริ่มต้นไปที่ Max Rockatansky (Tom Hardy) ชายหนุ่มผู้มีบาดแผลทางใจ ทำให้เห็นภาพหลอนในอดีต โดนจับตัวโดยกลุ่มคนเถื่อนที่มี Immortan Joe (Hugh Keays-Byrne) เป็นผู้นำและกลุ่มลูกสมุนที่เรียกว่า War Boy โดยถูกจับมาเพื่อเอาใว้เป็นทาสคอยให้เลือดผู้ป่วยในกลุ่ม เพราะกลุ่มนี้เต็มไปด้วยคนป่วยจากอาการเจ็บป่วยที่มาจากผลกระทบของนิวเคลียร์ ทำให้มีอายุสั้นกว่าปกติ
ในระหว่างนั้นเอง Furiosa (Charlize Theron) สาวแขนเดียวก็ได้ลอบทรยศ Immortan Joe แอบพาเอาสาวๆที่โดนจับมาหนี จึงถูกกองทัพของ Immortan Joe ไล่ล่า โดยหนึ่งใน War Boy ชื่อว่า Nux (Nicholas Hoult) ก็ได้ออกไปตามล่าในครั้งนี้ด้วย โดยเอา Max พระเอกของเราติดตัวไปด้วย เพราะจะเอาใว้ให้เลือดเนื่องจากตัวเองยังเจ็บป่วยอยู่ จนในที่สุด Max และ Furiosa ก็ได้เจอกันและ Furiosa ก็ได้ขอความช่วยเหลือจาก Max จนพวกเขาได้ออกเดินทางไปร่วมกันเพื่อหนีการตามล่า สุดท้ายตอนจบจะเป็นยังไงต้องติดตามกันเองครับกับ Mad Max : Fury Road
แทบจะทั้งเรื่องเต็มไปด้วยฉากไล่ล่าบนทะเลทรายโดยกองทัพของ Immortan Joe เพื่อจะแย่งชิงผู้หญิงของตัวเองกลับมา ซึ่งทำออกมาได้สุดยอดจริงๆครับ ทั้งงานภาพที่ดิบเถื่อนแต่สวยงาม และมุมกล้องที่น่าตื่นเต้นและสร้างสรรค์ ผมเองไม่ได้ดูหนังที่ให้อารมณ์ลุ้นระทึกและเมามัน บ้าคลั่งจนลืมหายใจแบบนี้มานานมากแล้ว ต้องบอกว่า Mad Max : Fury Road เป็นหนังที่ทำออกมาได้ถึงจริงๆครับ ตัวหนังใช้ CG ได้ลงตัวมากๆ ไม่ได้ใช้มากเกินไปจนดูไร้อารมณ์ร่วม โดยเน้นไปที่การเล่นกับของจริง และฉากโชว์สตั๊นเสี่ยงตายที่ดูหวือหวามากจริงๆ คุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้เข้าไปนั่งดูจริงๆครับ
ที่เป็นพระเอกไม่แพ้งานภาพคือ Soundtrack และ Effect เสียงประกอบต่างๆในเรื่องครับ เข้ากับตัวหนังมาก เมามันไม่แพ้งานภาพเลย สิ่งที่น่าสนใจคือ Mad Max : Fury Road แน่นอนว่าเป็นหนังสำหรับผู้ชาย 100% แต่ก็แทรกใว้ด้วยแนวคิด Feminist หรือสิทธิสตรี ใว้อย่างน่าสนใจ ทั้งการยืดหยัดไม่ยอมรับความรุนแรงในเพศชายและลุกขึ้นมาต่อต้าน รวมทั้งแสดงออกถึงความห้าวหาญในเพศหญิง รวมทั้งแนวคิดความเสื่อมโทรมของสังคมมนุษย์ เนื่องจากศิลธรรมสิ้นสูญไป เหล่านี้แม้จะไม่ใช่ของใหม่และเราก็เคยสัมผัสกันมาแล้วจากหนังชุด Mad Max ในภาคก่อนๆ แต่ก็ล้วนนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพใน Mad Max : Fury Road
Mad Max : Fury Road เป็นสุดยอดหนังที่มาจากผู้กำกับชั้นครูที่น่าทึ่งสุดๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นผลงานของ George Miller ผู้กำกับวัย 70 กว่าๆจริงๆครับ และยิ่งได้ไปดูในโรง 4DX ด้วยแล้ว มันคือความยอดเยี่ยมของแท้ครับ เก้าอี้สั่นแรงมากๆซึ่งเข้ากับหนังสุดๆเลย มีทั้งละอองน้ำ กลิ่น ลม และแรงกระแทก ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่ามันเหมาะกับ Mad Max : Fury Road อย่างไร้ที่ติ แต่ว่าเพื่อนผมที่ไปดูด้วยกันก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบนะครับ อันนี้ก็ต้องแล้วแต่รสนิยมจริงๆไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบดูแบบ 4DX ไปซะหมด
สำหรับคนที่ไม่เคยดูหนังชุด Mad Max มาก่อนก็ไม่ต้องกลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่องนะครับ เพราะเปิดเรื่องมาได้ดีและอธิบายได้อย่างมีชั้นเชิงรวมทั้งความเท่ดิบเถื่อนที่น่าจดจำ ของฉากเปิดตัวพระเอก เป็นการอธิบายทุกอย่างได้อย่างเกินพอแล้วครับ และจริงๆแล้วหนังชุด Mad Max ล้วนจบในภาคของตัวมันเองอยู่แล้วละครับไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เข้าใจ ใครที่ดู Mad Max : Fury Road จบแล้ว ผมแนะนำว่าควรหาภาคก่อนๆ 3 ภาคแรกมาดูครับยังสนุกไม่เบาเลยละ และงานนี้ผมว่าเราได้ดูภาคต่อกันอย่างแน่นอน รอลุ้นภาค 5 อย่างสุดใจขาดดิ้นครับ ตำนานกลับมาแล้ว!