Infinix Note 50 Pro+ 5G สมาร์ตโฟนสุดคุ้ม สเปคแรง! ชาร์จไว 100W
Infinix Note 50 Pro+ 5G+ คือหนึ่งในสมาร์ตโฟนที่เข้ามาในตลาดระดับกลาง แต่มาพร้อมจุดเด่นที่ครอบคลุมไปจนใกล้เคียงกับตลาดรุ่นท็อป ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์พรีเมียม ในความบางเพียง 7.99 มม.พร้อมวัสดุ ArmorAlloy ที่ให้ทั้งความทนทานและภาพลักษณ์ระดับสูงเกินปกติในตลาด
หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว รีเฟรชเรตสูงถึง 144Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate สูงสุด 2304Hz ถือว่าโดดเด่นมากในเรทราคาเดียวกัน รองรับการสแกนนิ้วใต้หน้าจอ
ด้านเสียงจัดเต็มด้วยลำโพงคู่ที่ปรับจูนโดย JBL ให้เสียงมีทิศทางชัดเจน ใช้รับชมคอนเทนต์หรือเล่นเกมได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริม ขณะที่กล้องหลังก็ไม่น้อยหน้า มาพร้อมชุดกล้องหลัก 50MP คู่ พร้อมระบบกันสั่น OIS และกล้อง Ultra-wide 8MP รองรับการซูมภาพสูงสุดถึง 100X และถ่ายวิดีโอระดับ 4K ทั้งกล้องหน้าและหลัง รวมถึงโหมดถ่ายภาพครบครันทั้ง Super Night, Portrait, Vlog, Slow Motion และ Dual Video
แบตเตอรี่คืออีกหนึ่งจุดขายที่ Infinix ทำได้ยอดเยี่ยม ด้วยความจุ 5,200mAh แบบ Silicon-Carbon ที่บางเบาแต่ให้ความจุสูง รองรับการชาร์จไว 100W และชาร์จไร้สายสูงถึง 50W ซึ่งหาได้ยากมากในสมาร์ตโฟนระดับราคาไม่ถึง 14,000 บาท พร้อมรองรับการชาร์จย้อนกลับทั้งแบบสายและไร้สาย รวมถึงการันตีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 2,300 รอบชาร์จหรือมากกว่า 6 ปี
ภายในใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 8350 Ultimate ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรม 4nm พร้อม RAM LPDDR5X ขนาด 12GB และ Extended RAM อีก 12GB รวมเป็น 24GB และ ROM UFS 4.0 ความจุ 256GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบด้วย XOS 15 ซึ่งมาพร้อมเครื่องมืออัจฉริยะมากมาย ทั้งด้านการจัดการเกมด้วย X-BOOST, การแปลภาษาเรียลไทม์, การลบวัตถุจากภาพ, สรุปเอกสาร และฟีเจอร์ AI หลากหลายแบบในตัว ทั้ง Gemini, ChatGPT, Deepseek และ Folax AI ของ Infinix เอง
การใช้งานโดยรวมลื่นไหล เหมาะกับทั้งเกมเมอร์ นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการสมาร์ตโฟนเพื่อความบันเทิง และมีฟีเจอร์ล้ำๆ ให้ใช้งานกันไม่มีเบื่อ ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
สุดท้าย สิ่งที่ทำให้ Infinix Note 50 Pro+ 5G น่าจับตามองยิ่งขึ้น คือของแถมที่ให้มาครบตั้งแต่ MagPad ที่ชาร์จไร้สายแบบแม่เหล็ก, เคส MagCase, ฟิล์มกระจกนิรภัย, สาย USB และที่ชาร์จ 100W ในกล่อง เรียกได้ว่าแกะกล่องพร้อมใช้งานทันทีโดยไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม
ในงบ 13,999 บาท นี่คือสมาร์ตโฟนรุ่นหนึ่ง ในตัวเลือกที่คุ้มค่าอย่างมากในช่วงเวลานี้ครับ
The Good
- ดีไซน์บาง เบา พรีเมียม ด้วยวัสดุ ArmorAlloy กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP64
- หน้าจอ AMOLED รีเฟรชเรทระดับ 144Hz สว่างสูง 1300nits
- ลำโพงคู่ปรับจูนโดย JBL เสียงดีไม่ต้องต่อลำโพงเพิ่ม
- แบต 5200mAh รองรับชาร์จสาย 100W และไร้สาย 50W อายุการใช้งานยาวนานถึง 6 ปี
- กล้องหลังคู่ 50MP + OIS ถ่ายภาพคม ซูมได้ถึง 100X
- ฟีเจอร์พิเศษ Bio-Active Halo ไฟ RGB แจ้งเตือน และวัดชีพจร/ออกซิเจนได้
- ชิป Dimensity 8350 Ultimate (4nm) แรงเทียบชั้นตัวท็อป
- RAM LPDDR5X สูงสุด 24GB (12GB + Extended 12GB), ROM UFS 4.0
- ระบบ XOS 15 บน Android 15 มาพร้อม AI แน่นๆ รองรับการแปลภาษา, สรุปเอกสาร, ลบวัตถุในภาพด้วย AI
- ของแถมครบกล่องทั้ง MagPad, MagCase, ฟิล์ม, ที่ชาร์จ 100W
- รองรับสัญญาณอนาคต 5.5G มีค่าความหน่วงที่ต่ำกว่า และมีความเร็วสูงกว่า 5G ปกติ
The Bad
- ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
- ไม่รองรับ microSD card เพิ่มความจุ
-
ความคุ้มค่าต่อราคา
-
ประสิทธิภาพ
-
วัสดุและการประกอบ
-
กล้องถ่ายรูป
-
ฟังก์ชันและประโยชน์ในการใช้งาน
Infinix เปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ Infinix Note 50 Pro+ 5G+ จุดเด่นคือการออกแบบที่มีความเป็นเกมมิ่งในตัว และสเปกเครื่องที่แรง สำหรับการนำมาใช้เล่นเกมกันแบบจริงจัง โดยมีกับการจับมือกับ PUBG เพื่อนำมาใช้กับดีไซน์ของกล่องภายนอก และระบบภายในที่ปรับจูนมาเพื่อการเล่นเกม PUBG ในระดับรีเฟรชเรท 120Fps ได้ลื่นไหลมากที่สุดในสเปกระดับเดียวกัน
และด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 8350 Ultimate ที่รองรับเครือข่าย 5.5G ทำให้สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีคำว่า 5G+ ต่อท้ายชื่อรุ่นนั้นเองครับ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่เหนือกว่า 5G ตามปกติ
ตามเทคโนโลยีแล้วนั้น ระบบ 5.5G จะสามารถสร้างความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงสุดถึง 100Gbps เมื่อเทียบกับ 5G ปกติที่มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10Gbps เท่านั้น รวมถึงรองรับแบนด์วิดธ์ที่ขนาดใหญ่และมีค่าความหน่วงที่ต่ำกว่า และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังจะนำเทคโนโลยี 5.5G มาใช้งานในบ้านเราด้วย
มาพร้อมระบบระบายความร้อน VC Cooling ขนาดใหญ่ที่ออกแบบพิเศษ และระบบการชาร์จเร็วทั้งแบบสาย 100W และไร้สายที่ 50W ซึ่งหาได้ยากในระดับราคาเดียวกัน เพราะ Infinix Note 50 Pro+ 5G+ เปิดตัวมาในราคาแค่ 13,999 บาทเท่านั้น ยังไม่นับรวมของแถมและโปรโมชั่น
โดยในบทความนี้ผมจะพามารู้จักกับ Infinix Note 50 Pro+ 5G+ ว่ามีอะไรอีกบ้างที่น่าสนใจในสมาร์ตโฟนราคาแค่หมื่นต้นๆ รุ่นนี้ครับ
ในบทความนี้
ดีไซน์พรีเมียม บางเฉียบ ทนทานด้วยวัสดุ ArmorAlloy
ตัวเครื่องของ Infinix Note 50 Pro+ 5G+ มีความบางเพียง 7.99 มม. น้ำหนัก 209 กรัม วัสดุแข็งแรง พร้อมวัสดุระดับพรีเมียม ArmorAlloy ซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงสูง และโครงสร้างภายในได้รับการออกแบบเพื่อรองรับแรงกระแทกโดยเฉพาะ และตัวเครื่องรองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP64
ด้านข้างตัวเครื่องออกแบบตัดเหลี่ยมจับถนัดมือ ให้ความรู้สึกแน่น แข็งแรง ไม่ใช่มาตรฐานปกติที่จะได้เห็นกันในเรทราคานี้ รู้สึกหรูด้วยผิวฝาหลังแบบพ่นทราย ไม่เกิดคราบมัน ไม่มีรอยนิ้วมือให้ต้องเช็ดบ่อยๆ
ทาง Infinix มีนำเข้ามาจำหน่ายในไทย 3 สี นั้นคือลวดลายพิเศษ Racing Edition และสีม่วง Enchanted Purple สุดท้ายคือ Titanium Grey สีเครื่องที่เห็นในรีวิวบทความนี้ เก็บรายละเอียดงานดีมาก ไม่มีเหลี่ยมคม ปุ่มกดต่างๆ แน่นหนา ใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ทั้งบนตัวเครื่องและปุ่มกด (ตัวเครื่องรุ่นนี้จะไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. บนตัวเครื่องโดยตรง)
ด้านบนมี Infrared Blaster ติดตั้งมาให้ สามารถใช้เป็นรีโมตควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ พร้อมสกรีนโลโก้ “SOUND BY JBL” การันตีคุณภาพเสียงจากลำโพงคู่ที่ติดตั้งมาให้บนตัวเครื่อง
รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด ในเครือข่ายที่รองรับไปถึงอนาคต 5.5G และยังรองรับ WiFi 6 (IEEE 802.11 a/b/g/n/ac/ax), Bluetooth 5.4, NFC ทุกอย่างใส่มาครบ โดยถาดใส่ซิมให้มาเป็นแบบสองสล็อต (ไม่รองรับการใส่ microSD Card เพิ่มเติม)
ที่สวยงามเป็นจุดเด่นก็คือชุดโมดูกล้องหลัง ยกระดับเล่นเลเยอร์ โดยมีการติดตั้ง Bio-Active Halo ซึ่งเป็น RGB เคลื่อนไหวที่ปรับเปลี่ยนสีได้ ทำหน้าที่เป็นทั้งไฟแจ้งสถานะการทำงาน เช่น เป็นไฟแจ้งเตือน, ใช้ในการนับถอยหลังการถ่ายภาพ, หรือการแจ้งขณะบันทึกวิดีโอ,
รวมถึงสามารถใช้เช็คสุขภาพร่างกายได้ด้วยนะครับ เพราะเป็นเซนเซอร์ฮาร์ทเรท แค่เอานิ้วไปแตะไว้ก็จะสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และมีอัลกิริทึมวิเคราะห์ค่าออกซิเจนในเลือดได้ในตัว ไม่จำเป็นต้องใส่สมาร์ทวอทช์ก็สามารถตรวจเช็คในเรื่องนี้ได้ด้วยสมาร์ตโฟนเครื่องเดียว
Bio-Active Halo สวยงาม โดดเด่น มีประโยชน์ สามารถเข้าไปตรวจสุขภาพ และไปกำหนดการทำงานไฟ Halo ได้ในการตั้งค่าตัวเครื่อง
หน้าจอคุณภาพสูง 144Hz พร้อมระบบเสียงลำโพงคู่ชั้นยอดจาก JBL
สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มาพร้อมกับระบบภาพและเสียงที่ยอดเยี่ยมครับ หน้าจอ AMOLED ขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว ความละเอียด FHD+ 1080 x 2436 รีเฟรชเรตสูงสุดถึง 144Hz พร้อมอัตราการสว่างสูงสุดถึง 1,300nits และค่า Touch Sampling Rate สูงสุดถึง 2304Hz ทำให้การสัมผัสหน้าจอขณะเล่นเกมตอบสนองได้ไว เป็นหน้าจอที่เหมาะทั้งการเล่นเกมและดูคอนเทนต์
ขอบจอเล็กมากๆ คิดเป็นสัดส่วนจอต่อพื้นที่ด้านหน้าสูงถึง 93.4% เลยทีเดียว จอแบน ขอบตัดเหลี่ยมแบบนิยม รูปทรงหน้าจอจะมาในสัดส่วนที่มีความ Wide-Screen มากกว่าปกติเล็กน้อย
รองรับการสแกนนิ้วบนหน้าจอโดยตรง และรองรับการสแกนใบหน้าเข้าใช้งานด้วยกล้องหน้าเช่นเดียวกัน ติดตั้งกล้องหน้าความละเอียด 32MP เอาไว้กลางจอขนาดเล็ก ไม่เปลืองพื้นที่ ไม่เกะกะสายตาในเวลาใช้งาน
ภายในระบบของ Note 50 Pro+ 5G+ ยังใช้พื่นที่ด้านข้างของกล้องหน้าเป็นพื้นที่แจ้งเตือนสถานะพิเศษ Dynamic Bar บอกถึงสถานะการทำงานที่ถูกเปิดไว้เช่น การบันทึกหน้าจอ, การบันทึกเสียง, การเล่นเพลง หรือ SMS ที่เข้ามา โดยจะแสดงให้เราเห็นขึ้นมาในบริเวณ Dynamic Bar และสามารถกดเพื่อเข้าใช้งานได้ทันที
นอกจากหน้าจอจะมีคุณภาพสูงแล้ว ในด้านระบบเสียงก็ดีมากด้วยเช่นกันครับ เป็นระบบเสียงลำโพงคู่ที่ปรับแต่งมาโดย JBL ให้เสียงที่มีทิศทาง ไม่แหลมดังหนวกหู เนื้อเสียงมีความนุ่มและกังวาล ให้ความกว้างของมิติเสียงที่ดีมากๆ
สามารถนำไปใช้เล่นเกม, ดูภาพยนตร์ หรือฟังเพลงในห้องส่วนตัวได้ โดยไม่ต้องต่อลำโพงภายนอกเพิ่มเลยครับ
แบตใหญ่ 5200mAh รองรับชาร์จไว 100W และชาร์จไร้สาย 50W
รุ่นนี้จัดเต็มใสนเรื่องของแบตเตอรี่อย่างมาก ด้วยแบต Silicon-Carbon ที่สามารถทำให้ตัวเครื่องมีความบางแต่ได้ความจุแบตเตอรี่ใหญ่ถึง 5200mAh รองรับ ชาร์จไวสูงสุด 100W แถมยังรองรับ การชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi ได้สูงสุด 50W อีกด้วย ซึ่งหายากมากๆ ในสมาร์ตโฟนเรทระดับนี้
อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นตัวเองเป็นพาวเวอร์แบงค์ ชาร์จไฟออกได้ทั้งแบบใช้สายและแบบไร้สาย ให้กับอุปกรณ์อื่นด้วยกำลังไฟ 10W
ไม่ใช่แค่ชาร์จได้เร็ว แต่แบตเตอรี่รุ่นนี้ยังมีรอบอายุการใช้งานที่ยาวนานมาก โดยทาง Infinix ประกาศว่าแบตเตอรี่ของ Note 50 Pro+ 5G+ สามารถชาร์จได้มากถึง 2,300 รอบ โดยยังคงรักษาสุขภาพแบตเตอรี่ไว้ได้มากกว่า 80% หรือคิดเป็นระยะเวลาในการใช้งานแบบชาร์จไฟทุกวัน ก็จะสามารถอยู่ได้นานมากกว่า 6 ปีเลยทีเดียวครับ
ด้วยที่ชาร์จ 100W จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 5200mAh ได้เต็มในเวลาประมาณแค่ 32 นาทีเท่านั้นเอง!
ซึ่งอุปกรณ์ภายในกล่อง ก็จะมีที่ชาร์จ 100W แถมมาให้เลยครับไม่ต้องไปซื้อเพิ่ม และเป็นที่ชาร์จพลังไฟสูงที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก พกพาติดตัวไปใช้งานนอกบ้านได้ง่ายๆ และเคสซิลิโคนที่เป็น MagCase แถมมาให้ สำหรับใช้ยึดติดกับอุปกรณ์ที่เป็นแม่เหล็ก
โดยภายในกล่องจะมีฟิล์มกระจกแถมมาให้ (เครื่องที่ได้มารีวิวไม่ได้ติดฟิล์มมา แต่มีฟิล์มกระจกแถมมาให้ภายในกล่อง) พร้อมสายดาต้า USB ที่เป็นชนิด C-to-C เพราะที่ชาร์จ 100W ที่แถมมาของรุ่นนี้ใช้พอร์ตไฟ OUT เป็น Type-C นั้นเองครับ พร้อมบัตร S-VIP Card เพื่อรับบริการหลังการขาย
เพราะที่พิเศษสำหรับ Infinix Note 50 Pro+ 5G+ ทุกเครื่อง ที่จะได้รับของแถมเป็น MagPad หรือที่ชาร์จไร้สายแบบแม่เหล็ก (20W) แถมมาในแพ็กเกจให้ด้วยครับ
สวยงาม ใช้สะดวกเพราะเป็นแม่เหล็ก ไม่ต้องเสียบสายชาร์จก็สามารถถือใช้งานได้
ครบ! ไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม ราคาแค่นี้คือจบ แกะกล่องพร้อมใช้กันได้เลย ของถมในกล่องจัดเต็มมาก
ชิปแรง 4nm พร้อม RAM สูงสุด 24GB
Infinix Note 50 Pro+ 5G+ ใช้ชิปเซ็ตระดับกลางบนอย่าง MediaTek Dimensity 8350 Ultimate ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรม 4nm เป็นชิปที่แรงครับ ภายในจัดเต็มด้วย CPU Octa-core (4x Cortex-A715 ความเร็วสูงสุด 3.35GHz + 4x Cortex-A510) และ GPU Mali-G615 MC6 ให้ประสิทธิภาพดีเยี่ยมทั้งในการใช้งานทั่วไป และการเล่นเกม รวมถึงการประมวลผล AI เจนใหม่ NPU 780
ประสิทธิภาพการประมวลผลของมันจากการทดสอบบน AnTuTu มีความแรงมากกว่า Snapdragon 7 Gen3 ที่นิยมใช้งานกันในเครื่องหลักหมื่นกว่า มีความแรงมากกว่าเกือบสองเท่า!
ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด XOS 15 ครอบทับบน Android 15 โดยรุ่นนี้ทาง Infinix การันตีว่าจะได้รับการอัปเดท OS อย่างน้อย 2 ปี และแพทช์ความปลอดภัยอย่างน้อย 3 ปี
โดยความแรงของรุ่นนี้มาจากมาตรฐาน RAM และ ROM ที่นำมาใช้ด้วย เพราะให้ RAM มาเป็นแบบ LPDDR5X ที่มีความเร็วในการอ่านเขียนสูงและ ROM แบบ UFS 4.0 ที่เป็นเทคโนโลยีระดับกลุ่มตัวท็อปด้วยเช่นกัน โดยมาใน RAM ขนาดใหญ่ 12GB พร้อมฟีเจอร์ Extended RAM เพิ่มได้อีก 12GB รวมเป็น สูงสุด 24GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลให้มา 256GB ที่ทำงานร่วมกัน
จากการทดสอบใช้งาน การเล่นเกมต่างๆ หวังผลความลื่นไหลได้เลยครับ รองรับสูงสุดที่ 120Hz ทดสอบกับเกม PUBG ที่มีการจับมือกันในการพัฒนาให้รองรับโหมดเฟรมเรทการเล่นแบบ Ultra ในระดับกราฟิก Ultra ก็มีความลื่นไหล ภาพสวย เล่นเกมได้สนุกครับรุ่นนี้
ในระบบของ XOS 15 มีเครื่องมือสำหรับคนเล่นเกมอย่าง X-BOOST เป็นเครื่องมือสำหรับการปรับประสิทธิภาพเครื่องในขณะเล่นเกม ปรับได้ 3 ระดับตามการใช้พลังงาน มีเครื่องมือสนุกๆ อย่างการเปลี่ยนเสียงพูดของเรา ให้กลายเป็นรูปแบบแปลกๆ ได้ฟรีหลายแนวเสียง (มีแจกสิทธิ์ใช้งานเสียงพรีเมียมฟรี 30 วันด้วย)
มีระบบช่วยเหลือคนเล่นเกม เช่นการใช้การเอียงของเครื่องเพื่อการควบคุมเกม, ฟังก์ชั่นปิดการแจ้งเตือน ปิดกั้นการทัชโดยไม่ตั้งใจ หรือการชาร์จไฟแบบบายพาส จ่ายไฟตรงไม่ผ่านแบตเตอรี่เพื่อช่วยลดความร้อนที่อาจจะเกิดขึ้นในขณะเล่นเกมต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ
ระบบยังได้ออกแบบให้แจ้งเวลาการรอขึ้นเครื่องบินในเกมอย่าง PUBG ตรงส่วน Dynamic Bar ไว้ด้วย ไม่ต้องอยู่หน้าเกมตลอดเวลา
ทดสอบเล่นเกมอย่าง Black Beacon ก็ยังลื่นไหลครับ เกมคอมโบกราฟิก 3D ภาพสวยๆ ยังได้เล่นสบายมาก
ระบบระบายความร้อน VC Cooling ขนาดใหญ่พิเศษ ช่วยให้เล่นเกมในอุณหภูมิห้องได้ดี เล่นเกมต่อเนื่องเครื่องไม่ร้อนมากจนถึงขั้นเป็นกังวล แต่ว่าถ้าไปเล่นภายนอกบ้านในอุณหภูมิประเทศไทย เครื่องมีความร้อนให้รู้สึก ไม่เหมาะจะเปิด “โหมดประสิทธิภาพ” ในการเล่นเกมเวลาไม่ได้อยู่ในห้องแอร์ครับ จะเกิดอาการเฟรมเรทตกให้เห็น
นอกจากเรื่องของเกม จะบอกว่าระบบ XOS 15 ใส่เครื่องมือช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานเยอะมากครับ รองรับทั้งการแบ่งหน้าจอทำงานและแบบเปิดแอปเป็นป๊อบอัป ทำให้สามารถเปิดใช้งานได้ถึง 3 แอปพร้อมกัน และตัวเครื่องมีประสิทธิภาพมากพอจะทำงานได้ลื่นไหลสบายๆ ด้วยครับ
รองรับ Gesture หลายรูปแบบ เช่น การใช้สองนิ้วสไลด์ผ่ากลางหน้าจอเพื่อแยกทำงานสองแอปได้พร้อมกัน หรือการสไลด์สามนิ้วขึ้นไปเพื่อการเปิดแอปปัจจุบันให้เป็นแบบป๊อบอัป และการใช้สามนิ้วลากลงมาเพื่อการเซฟภาพหน้าจอ
AI จัดเต็ม แปลภาษา จัดการเอกสาร และแก้ไขรูปภาพ
ใน Infinix Note 50 Pro+ 5G+ ใส่ระบบเข้ามาไว้เยอะมาก ทั้งอาศัยการทำงานของ AI อย่าง Google Gemini, ChatGPT, Deepseek รวมถึงตัว Folax ที่เป็นของ Infinix เอง และรุ่นนี้ก็รองรับ Circle to search ของ Google เรียบร้อยแล้ว
ตัว AI Folax ตัวนี้สะดวก รองรับภาษาไทย คุยกันรู้เรื่องและติดตั้งมาให้ใช้ฟรีในระบบ ทำงานได้เหมือนพวก AI ChatGPT, Deepseek ได้เลย สามารถเรียกใช้ได้ทันทีโดยพูดว่า Hi, Folax ก็สามารถถามหรือปรึกษาให้ช่วยได้ทุกอย่างในชีวิต ^^
ใช้ AI สรุปเอกสารหรือสิ่งที่เราเขียน รวมถึงตรวจสอบตัวสะกด รวมถึงให้ AI ปรับปรุงให้เนื้อหาการเขียนของเราเป็นทางการ หรือปรับให้เป็นกันเองได้เช่นกัน รวมถึงสามารถใช้ AI ในการถอดเสียงพูด เพื่อบันทึกเป็นข้อความ และนำไปแปลต่อได้
สามารถร่างภาพลายเส้นง่ายๆ AI จะช่วยสร้างให้กลายเป็นภาพวาดระดับมืออาชีพ เพื่อนำไปใส่ลงในบันทึกได้ด้วยนะครับ
การแปลภาษาจากสิ่งที่เห็นบนหน้าจอ โดยการใช้ 2 นิ้วสไลด์ลงมา สะดวกมาก ในเวลาเราอ่านหน้าเว็บ หรือกำลังเล่นเกมในภาษาที่อ่านไม่เข้าใจ สามารถลากสองนิ้วคลุมบนพื้นที่ของตัวหนังสือ แล้วระบบ AI จะแปลให้เองโดยทันทีครับแบบไม่ต้องคัดลอกข้อความหรือสลับแอปทำงาน
ใน XOS 15 ยังรองรับการแปลภาษาเสียงสนทนาได้แบบเรียลไทม์ด้วย แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันในวันที่ทำการรีวิว ยังไม่รองรับการแปลเสียงสนทนาสายแบบเรียลไทม์ในภาษาไทยครับ
ระบบการจัดการภาพ ลบวัตถุบนภาพด้วย AI ก็มีมาใช้ครับ สามารถเลือกวงหรือระบายลงบนสิ่งที่ต้องการลบบนภาพได้เลย AI จะลบวัตถุพร้อมเติมภาพพื้นหลังในจุดนั้นให้สมบูรณ์โดยอัตโนมัติ ผลงานทำได้เนียนกริ๊บ
รวมถึงการไดคัทวัตถุหรือบุคคลออกจากภาพถ่าย แค่ทัชค้างสิ่งที่ต้องการบนภาพ ก็สามารถนำไปใช้ในแบบภาพหลังใส เราสามารถนำไปฝากไว้ใน “สมาร์ทฮับ” ของระบบเครื่องได้เช่นกันครับ นำไปส่งเป็นสติ๊กเกอร์ได้ในแอปแชตที่รองรับได้เลย ^^
“สมาร์ทฮับ” จะเป็นระบบฝากไฟล์ภาพหรือข้อความไว้ในพื้นที่พิเศษ ที่เราสามารถนำภาพหรือข้อความไปใช้กับแอปอื่นได้ภายหลัง
กล้องคู่ 50MP OIS รองรับการซูมภาพระดับ 100X
จุดเด่นอีกหนึ่งด้านของ Note 50 Pro+ 5G+ ก็คือเรื่องกล้อง โดยกล้องหลังจะติดตั้งมาให้ 3 ตัว ประกอบด้วย กล้องหลัก 50MP + OIS, กล้อง Telephoto 50MP + OIS จะเห็นว่าทั้งสองเลนส์กล้องจะมีการใส่ระบบกันสั่นแบบ Optical เข้ามาให้ทั้งคู่ เหมือนเป็นเครื่องที่มีกล้องหลัก 2 ตัวเลยทีเดียว แถมยังใช้เซนเซอร์คุณภาพระดับเรือธงอย่าง Sony IMX896 มาให้ใช้ด้วย รองรับการซูมภาพได้ถึงระดับ 100 เท่า และกล้องสุดท้ายเป็นเลนส์ Ultra-wide 8MP
รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง (กล้องหน้าได้ที่ 4K 30fps และ Full HD ที่ 60fps ขณะที่กล้องหลังรองรับการถ่าย 4K 60fps) คุณภาพเกินจะพอสำหรับคนชอบถ่ายภาพและวิดีโอ
มีฟีเจอร์ถ่ายภาพและวิดีโอเยอะมากมาย เช่น Super Night, Dual Video, AI Portrait, Long Exposure, Vlog Mode และ Slow Motion สูงสุด 240fps
และทีเด็ดคือรองรับการซูมไกลระยะถึง 100x ปรับความคมชัดให้ด้วย AI ภาพซูมออกมายังดูมีความคมของเส้นขอบ โดยเฉพาะในสมาร์ตโฟนราคาแค่หมื่นต้นๆ แค่นี้
ส่วนถาพถ่ายทั่วไป หวังผลได้ในระยะการซูมไม่เกิน 20x ภาพยังสวย รายละเอียดดี คุณภาพกล้องดีกว่าราคาขายครับ นำติดตัวไปท่องเที่ยว หรือเดินถ่ายรูปเล่นได้สบายๆ
มีโหมดถ่ายภาพที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร “Sky Shop” ในวันที่ท้องฟ้าไม่สวย ฝนตก เมฆครึ้ม เปิดโหมดนี้แล้วถ่าย ท้องฟ้าสวยใสเหมือนเป็นวันอากาศดีได้ทันที
ในโหมดถ่ายภาพมาโคร ก็ใส่ฟังก์ชั่นการถ่าย Tele-Macro มาให้ด้วย เป็นการซูมภาพเพื่อถ่ายมาโครจากระยะไกล ได้รายละเอียดของวัตถุที่ขัดเจนยิ่งกว่า
กล้องรุ่นนี้คุณภาพดีครับ ภาพใส โฟกัสคม โดยเฉพาะในระยะการซูมไปเกิน 6x ภาพจะคมมาก และกล้องรุ่นนี้ก็มีโหมดถ่ายภาพเยอะมากจริงๆ ลองดูตัวอย่างภาพถ่ายบางส่วนจากหลายๆ โหมด ที่ไปเดินถ่ายรูปเล่นเอามาฝากกันครับ
บทสรุป Infinix Note 50 Pro+ 5G+
Infinix Note 50 Pro+ 5G+ คือหนึ่งในสมาร์ตโฟนที่เข้ามาในตลาดระดับกลาง แต่มาพร้อมจุดเด่นที่ครอบคลุมไปจนใกล้เคียงกับตลาดรุ่นท็อป ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์พรีเมียม ในความบางเพียง 7.99 มม.พร้อมวัสดุ ArmorAlloy ที่ให้ทั้งความทนทานและภาพลักษณ์ระดับสูงเกินปกติในตลาด
หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว รีเฟรชเรตสูงถึง 144Hz พร้อมค่า Touch Sampling Rate สูงสุด 2304Hz ถือว่าโดดเด่นมากในเรทราคาเดียวกัน รองรับการสแกนนิ้วใต้หน้าจอ
ด้านเสียงจัดเต็มด้วยลำโพงคู่ที่ปรับจูนโดย JBL ให้เสียงมีทิศทางชัดเจน ใช้รับชมคอนเทนต์หรือเล่นเกมได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริม ขณะที่กล้องหลังก็ไม่น้อยหน้า มาพร้อมชุดกล้องหลัก 50MP คู่ พร้อมระบบกันสั่น OIS และกล้อง Ultra-wide 8MP รองรับการซูมภาพสูงสุดถึง 100X และถ่ายวิดีโอระดับ 4K ทั้งกล้องหน้าและหลัง รวมถึงโหมดถ่ายภาพครบครันทั้ง Super Night, Portrait, Vlog, Slow Motion และ Dual Video
แบตเตอรี่คืออีกหนึ่งจุดขายที่ Infinix ทำได้ยอดเยี่ยม ด้วยความจุ 5,200mAh แบบ Silicon-Carbon ที่บางเบาแต่ให้ความจุสูง รองรับการชาร์จไว 100W และชาร์จไร้สายสูงถึง 50W ซึ่งหาได้ยากมากในสมาร์ตโฟนระดับราคาไม่ถึง 14,000 บาท พร้อมรองรับการชาร์จย้อนกลับทั้งแบบสายและไร้สาย รวมถึงการันตีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 2,300 รอบชาร์จหรือมากกว่า 6 ปี
ภายในใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 8350 Ultimate ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรม 4nm พร้อม RAM LPDDR5X ขนาด 12GB และ Extended RAM อีก 12GB รวมเป็น 24GB และ ROM UFS 4.0 ความจุ 256GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 15 ครอบด้วย XOS 15 ซึ่งมาพร้อมเครื่องมืออัจฉริยะมากมาย ทั้งด้านการจัดการเกมด้วย X-BOOST, การแปลภาษาเรียลไทม์, การลบวัตถุจากภาพ, สรุปเอกสาร และฟีเจอร์ AI หลากหลายแบบในตัว ทั้ง Gemini, ChatGPT, Deepseek และ Folax AI ของ Infinix เอง
การใช้งานโดยรวมลื่นไหล เหมาะกับทั้งเกมเมอร์ นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการสมาร์ตโฟนเพื่อความบันเทิง และมีฟีเจอร์ล้ำๆ ให้ใช้งานกันไม่มีเบื่อ ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
สุดท้าย สิ่งที่ทำให้ Infinix Note 50 Pro+ 5G+ น่าจับตามองยิ่งขึ้น คือของแถมที่ให้มาครบตั้งแต่ MagPad ที่ชาร์จไร้สายแบบแม่เหล็ก, เคส MagCase, ฟิล์มกระจกนิรภัย, สาย USB และที่ชาร์จ 100W ในกล่อง เรียกได้ว่าแกะกล่องพร้อมใช้งานทันทีโดยไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม
ในงบ 13,999 บาท นี่คือสมาร์ตโฟนรุ่นหนึ่ง ในตัวเลือกที่คุ้มค่าอย่างมากในช่วงเวลานี้ครับ
ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ที่
- Shopee Mall: https://cutt.ly/ArhLG1F7
- Laz Mall: https://s.lazada.co.th/a.08Yl
- TikTok Shop https://cutt.ly/3rhLG7m1
ตลอดจนร้านค้าชั้นนำที่ BaNANA, Jaymart, IT City, TG FONE สาขาที่ร่วมรายการ