OPPO Reno14 5G และ Reno14 F 5G คือสมาร์ตโฟนที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ยุคใหม่ โดยมีจุดร่วมที่น่าสนใจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6,000mAh, หน้าจอ AMOLED รีเฟรชเรต 120Hz, และฟีเจอร์ AI ด้านกล้อง โดยเฉพาะความสามารถใหม่ AI Flash Photography ทำให้ครอบคลุมการถ่ายภาพพอร์ตเทรตได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน ไปจนถึงการลบวัตถุและปรับองค์ประกอบภาพให้อัตโนมัติ
Reno14 5G เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความครบเครื่องทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ มาพร้อมชิป Dimensity 8350, ระบบกล้องกล้องพอร์ตเทรตซูมได้ 3.5x ที่มีเพียงตัวเดียวในระดับราคานี่ และชาร์จไว 80W SUPERVOOC พร้อมฟีเจอร์เฉพาะอย่าง AI Mind Space ที่ช่วยจัดการข้อมูลได้จริงในระดับที่มือถือทั่วไปยังไม่มี
ขณะที่ Reno14 F 5G แม้จะไม่มีกล้องซูมหรือชิปเรือธง แต่ก็ยังให้ประสบการณ์ใช้งานที่ครบถ้วนในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย มีกล้องหน้า 32MP ที่คุณภาพดี และยังคงรองรับฟีเจอร์ AI สำคัญเกือบทั้งหมด รวมถึงดีไซน์ที่บางเบา และสีสันที่ถูกใจคนรุ่นใหม่
ในภาพรวม ทั้งสองรุ่นเน้นการใช้งานจริงมากกว่าการโชว์สเปก โดยเฉพาะด้านการถ่ายภาพ การเชื่อมต่อข้ามอุปกรณ์ และการจัดการพลังงาน ใครที่มองหาสมาร์ตโฟนที่ไม่ใช่แค่ความแรงบนกระดาษ แต่ใส่คุณสมบัติที่ใช้งานได้จริงในทุกวัน Reno14 Series ก็คือสองตัวเลือกที่แตกต่าง ตามสไตล์ของแต่ละคนที่เราแนะนำไว้ข้างต้นได้อย่างดีครับ
สำหรับ OPPO Pad SE รุ่น LTE : หากคุณกำลังมองหาแท็บเล็ตสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน สำหรับรับชมความบันเทิง เรียนหนังสือ หรือใช้ในธุรกิจออนไลน์ หรือจะซื้อให้เด็กใช้ รุ่นนี้หน้าจอใหญ่ ภาพชัด แบรนด์ดี มีความทนทาน ใช้งานได้ยาวนานและวางใจได้ในความปลอดภัย ภายในมีฟีเจอร์เพื่อครอบครัวและการเรียนรู้ครบถ้วนในราคาที่ไม่สูงเกินไป
The Good
- กล้องหลังความละเอียดสูง พร้อม AI Flash Photography สว่างนุ่ม ถ่ายคนสวยทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องหน้าให้ความละเอียดสูง (32MP / 50MP) พร้อมออโต้โฟกัส ถ่ายเซลฟี่คมชัด
- ดีไซน์บางเบา พรีเมียม มีเอกลักษณ์ด้วยลวดลายหางปลา งดงาม ใช้เทคนิคการผลิตระดับสูง
- จอ AMOLED รีเฟรชเรต 120Hz ใช้งานได้แม้นิ้วเปียก รองรับ PWM Dimming ถนอมสายตา
- แบตเตอรี่ใหญ่ 6,000mAh ใช้งานได้ข้ามวัน พร้อมระบบชาร์จไว (45W / 80W)
- รองรับฟีเจอร์ AI หลากหลาย เช่น ลบเงา, ปรับภาพเบลอ, เปลี่ยนองค์ประกอบ และจัดงานเอกสาร พร้อมแปลภาษา
- รองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP66 / IP68 / IP69
- เชื่อมต่อข้ามอุปกรณ์ได้ผ่าน O+ Connect แชร์ไฟล์กับ iPhone, iPad
- OPPO Pad SE รุ่น LTE : หน้าจอ 11″ ความละเอียด 2K พร้อมรับรอง Low Blue Light & Flicker‑Free ดูสบายตานาน
- OPPO Pad SE รุ่น LTE : ลำโพง 4 ตัว พร้อมระบบ Omnibearing Sound Field ให้เสียงหมุนตามแนวเครื่อง
- OPPO Pad SE รุ่น LTE : แบตเตอรี่ใหญ่ถึง 9,340 mAh ใหญ่ที่สุดในราคาระดับเดียวกัน ใช้งานต่อเนื่องได้นานสูงสุด 11 ชั่วโมง
- OPPO Pad SE รุ่น LTE : เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน OPPO และ iOS ผ่าน O+ Connect ได้อย่างลื่นไหล
- OPPO Pad SE รุ่น LTE : รองรับโหมดจัดแต่งพิเศษสำหรับเด็ก พร้อมระบบแจ้งเตือนแสงน้อย และระบบควบคุมจากผู้ปกครอง
- OPPO Pad SE รุ่น LTE : ตัวเครื่องบางเบาเพียง 7.39 มม. น้ำหนักแค่ประมาณ 530 กรัม
The Bad
- ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย
- ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.
- OPPO Pad SE : ไม่แถมอะแดปเตอร์ชาร์จภายในกล่อง
- OPPO Pad SE : ไม่รองรับการแสกนด้วยลายนิ้วมือ
-
ความคุ้มค่าต่อราคา
-
ประสิทธิภาพ
-
วัสดุและการประกอบ
-
กล้องถ่ายรูป
-
ฟังก์ชันและประโยชน์ในการใช้งาน
OPPO Reno14 Series 5G เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย วันที่ 1 กรกฎาคม 2025 พร้อมชูจุดขายด้านกล้องพอร์ตเทรต AI Flash Photography ล้ำที่สุดและดีที่สุด โดยเปิดตัวออกมาในสมาร์ตโฟนทั้งสามรุ่นอย่าง Reno14 Pro 5G, Reno14 5G และ Reno14 F 5G
โดยเฉพาะ Reno14 5G และ Reno14 F 5G ที่มาพร้อมแฟลชสว่างที่สุดในอุตสาหกรรม เสริมด้วยฟีเจอร์ AI และดีไซน์ใหม่โดดเด่นด้วยลาดลายหางปลา สะท้อนแสงเงาแบบที่ไม่เหมือนใคร
ในขณะที่ OPPO Pad SE รุ่น LTE ก็เป็นแท็บเล็ตราคาเบา สำหรับกลุ่มที่มองหาอุปกรณ์สำหรับการเรียน การทำงาน และความบันเทิง ในแบบหน้าจอใหญ่ แบตอึด ที่เปิดตัวออกมาพร้อมกัน ในบทความนี้เราจะพามารู้จักกับทั้งสามอุปกรณ์ที่ว่ามาทั้งหมดในบทความเดียวครับ
ในบทความนี้
OPPO Reno14 F 5G สมาร์ตโฟนที่มาพร้อมแฟลชที่สว่างที่สุดในอุตสาหกรรม
OPPO Reno14 F 5G เปิดตัวมาในราคาเข้าถึงได้ไม่ยาก เป็นตัวราคาเริ่มต้นของซี่รี่ส์ มีความพิเศษทั้งในด้านการดีไซน์ตัวเครื่อง ด้วยลวดลายแบบหางปลาที่ไม่เหมือนใคร ตัวเครื่องบางเบา แบตเตอรี่อึด ใช้งานได้ยาวนาน และยังมาพร้อมกับระบบกล้องถ่ายภาพที่โดดเด่นมากที่สุดในช่วงราคาเดียวกัน ด้วยระบบ AI แฟลช ตัวใหม่ล่าสุดจากทาง OPPO ครับ ซึ่งเป็นแฟลชคู่ที่ติดตั้งเอาไว้ มีความสว่างสูงมาก ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันกับ AI ภายในระบบ
กล้องหลัก 50MP OIS พร้อม AI แฟลช จัดเต็มแบบมืออาชีพ
กล้องหลังของ OPPO Reno14 F 5G มาพร้อมเซ็ตอัป 3 ตัวที่ครอบคลุมหลายระยะ ได้แก่
- กล้องหลักความละเอียด 50MP ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX882 ขนาด 1/1.95 นิ้ว พร้อมระบบกันสั่น OIS
- กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 8MP ซึ่งช่วยเปิดมุมมองให้กว้างขึ้น
- กล้อง Macro ความละเอียด 2MP สำหรับถ่ายระยะใกล้
ภาพคมชัด ระยะการถ่ายดี สามารถซูมภาพได้ตั้งแต่ระยะ 0.6x ไปจนถึงดิจิทัลที่ 10x ซูมในระยะไม่เกิน 5x หวังผลความคมชัดได้ มีฟิลเตอร์สีสันให้เลือกใช้งานหลายแนว
โหมดถ่ายภาพที่ยกระดับด้วย AI Flash Photography
ระบบกล้องของรุ่นนี้ไม่ใช่แค่ถ่ายชัดในเวลากลางวัน แต่ยังเน้นการถ่ายในที่แสงน้อยด้วยระบบ AI Flash Photography ที่ใช้แฟลชคู่เพื่อให้แสงแบบนุ่มแต่สว่างทั่วถึง โดยแฟลชของรุ่นนี้ให้แสงสว่างเพิ่มมากกว่าเดิมถึง 100% ในระยะ 1 เมตรเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า และถือว่าเป็นความสว่างที่สูงที่สุดในปัจจุบันของอุตสากรรม โดยผู้ใช้สามารถเปิดแฟลชได้เอง หรือเปิดให้ทำงานแบบ Auto และแบบเปิดไว้ตลอดเวลาเป็น Fill Light
แม้กล้องจะมีโหมดถ่ายภาพกลางคืน แต่ในสภาพแสงที่มืดมากๆ โหมดกลางคืนก็ไม่ได้เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลมากนัก และให้อารมณ์ภาพที่แตกต่างจากโหมดแฟลชด้วยครับ
ระบบจะปล่อยแฟลชความเข้มตํ่านำร่องไปก่อน แล้วตามด้วยแฟลชหลักที่เข้มข้นและรวดเร็ว ช่วยให้ได้ภาพที่ชัดแม้ในที่มืดมากๆๆๆ เหมาะกับการถ่ายในร้านคาเฟ่ ในผับ ในรถ หรือในสถานที่ที่มีแสงน้อยๆ
ซึ่งไม่ต้องกลัวว่าใบหน้าจะโอเวอร์ หรือเกิดอาการแสงล้นเพราะแฟลช เพราะแฟลชจะทำงานคู่กับ AI ที่จะเข้ามาปรับให้หลังการถ่าย ภาพออกมาได้อารมณ์เรโทร สไตล์ Vintage คล้ายกล้องฟิล์มสมัยก่อนแบบที่เรายังนิยมใช้แฟลชกันอยู่ แต่ภาพสวยคมมากกว่าในอดีตเยอะเลย ^^
และด้วยระยะของแสงแฟลชที่มีความสว่างสูง สามารถใช้งานกับการถ่ายภาพโหมด Portrait ในแบบซูม 2x แสงก็ยังถึงได้สบายๆ ครับ และไฟแฟลชยังช่วยให้เราถ่ายภาพย้อนแสงไฟ อย่างเช่นป้ายไฟด้านหลัง โดยที่ใบหน้าของตัวแบบไม่มืดด้วยครับ
โหมดถ่ายภาพบุคคลแบบปกติ ก็ยังทำออกมาได้ดีเช่นเดิม ภาพดูแนวใสๆ ปรับจูนกล้องในสไตล์วัยรุ่นครับสำหรับ OPPO Reno 14 F 5G ภาพดูดีทั้งระยะ 1x (26mm) และซูม 2x (52mm)
อีกหนึ่งจุดขายคือกล้องหน้า OPPO Reno14 F 5G มีความละเอียดสูง 32MP พร้อมระบบโฟกัสอัตโนมัติ รองรับระยะการซูมภาพได้ 2 ระดับสำหรับกล้องหน้า มีฟิลเตอร์สีสันเปลี่ยนอารมณ์ภาพใส่มาเอยะ และระบบปรับแต่งใบหน้าได้ทุกส่วน
ภาพเซลฟี่ที่ได้มีความคมชัด ปรับแต่งใบหน้าได้เนียนสวย คุณภาพกล้องของ OPPO ถ่ายคนหน้าเนียนสวยได้ทุกรุ่นจริงๆ ^^
กล้องของรุ่นนี้ไม่ได้มีดีแค่ “จำนวนพิกเซล” แต่ใส่ใจไปถึงประสบการณ์ใช้งานจริง ด้วย AI ที่ฉลาดและช่วยได้จริง โดยเฉพาะในเรื่องการถ่ายภาพในที่แสงน้อย การจัดองค์ประกอบภาพ และการแต่งภาพภายหลัง โดยรวมถือว่า “ครบเครื่อง ใช้งานง่าย” ในราคาที่เอื้อมถึง
อีกหนึ่งลูกเล่นด้านการถ่ายภาพที่น่าสนใจ คือ AI LivePhoto 2.0 ตัวกล้องจะสามารถเก็บภาพเคลื่อนไหวก่อนและหลังชัตเตอร์นาน 1.5 วินาที (รวมเป็น 3 วินาที) ทำให้เราสามารถกดดูภาพเคลื่อนไหวผ่านภาพนิ่งในภายหลังได้ พร้อมสามารถเซฟภาพจากทุกเฟรมในช่วง 3 วินาทีนั้นออกมาเป็นภาพใหม่ได้เสมอ หมายถึงเราถ่ายภาพเพียงครั้งเดียว จะได้ภาพที่สามารถมาเลือกได้ภายหลังนับไม่ถ้วนเลยครับ
พร้อมกับเปลี่ยนภาพเคลื่อนไหวนั้นออกมาเป็นวิดีโอหรือ GIF รวมถึงแชร์ขึ้น Instagram ได้โดยตรงด้วย
ด้วยความที่ OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G มีคุณสมบัติกันน้ำสูงสุดระดับ IP69 ทั้งคู่ จึงมีการใส่โหมดถ่ายภาพและวิดีโอใต้น้ำเข้ามาให้ด้วย โดยมีการพัฒนาเพิ่มความคมชัดมากขึ้น และรองรับการถ่ายวิดีโอใต้น้ำความละเอียดสูงสุด 4K และระบบไล่น้ำหลังการถ่าย
สามารถถ่ายในน้ำสะอาดได้ลึกไม่เกิน 2 เมตร และนานไม่เกิน 30 นาที
ดีไซน์สวยนำเทรนด์ บางเบา ทนทาน กันน้ำ IP69
OPPO Reno14 F 5G ไม่เพียงโดดเด่นเรื่องกล้องและแบตเตอรี่ แต่ยังใส่ใจในรายละเอียดของดีไซน์อย่างประณีต ด้วยแรงบันดาลใจจากแฟชั่นและธรรมชาติ สะท้อนผ่านพื้นผิวฝาหลังและเฉดสีที่แตกต่างกันถึง 3 แบบ โดยแต่ละสีมีขนาดและน้ำหนักต่างกันเล็กน้อย เพื่อรองรับสไตล์ผู้ใช้งานที่ไม่เหมือนกัน
สีฟ้า Opal Blue มาในโทนฟ้าหมุนวนที่เล่นกับแสงและเงาแบบไดนามิก ออกมาเป็นลวดลายแบบหางปลาที่สลับสีในเวลาที่แสงมากระทบ เสริมด้วยการออกแบบ “ออร่าไล่เฉดสี” รอบโมดูลกล้อง ช่วยให้ตัวเครื่องดูมีมิติ จะเห็นว่า OPPO ใส่ใจในรายละเอียดอย่างมาก
ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 158.12 x 74.97 x 7.78 มม. น้ำหนัก 180 กรัม สวยงาม แปลกตา โดดเด่นมากในเวลาถือใช้งาน
อีกสองสีคือสีชมพู Glossy Pink เน้นความหวานและความนุ่มนวล ฝาหลังสะท้อนเงาแบบมุกสวยงามดูมีระดับ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนที่ให้ลุคเรียบหรู ขนาดอยู่ที่ 158.12 x 74.97 x 7.69 มม. น้ำหนัก 180 กรัม และสีเขียว Luminous Green โดดเด่นด้วยเอฟเฟกต์ “Luminous Loop” ที่เรืองแสงสะท้อนแบบพิเศษเมื่อกระทบแสง เหมาะกับสายแฟชั่นที่ชอบความไม่ซ้ำใคร ขนาด 158.12 x 74.97 x 7.74 มม. น้ำหนัก 180 กรัม
แม้จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเชิงขนาด แต่ทุกเฉดสีของ Reno14 F 5G ก็ยังคงความบางเบา จับถือถนัดมือ และรองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับสูง IP66 / IP68 / IP69 ถือว่าเป็นหนึ่งในรุ่นที่ทั้งสวยและทนอย่างแท้จริง
ตัวเบา บาง แต่แบตเตอรี่ภายในขนาดใหญ่ 6000mAh รองรับชาร์จไว 45W SUPERVOOC สามารถชาร์จเต็ม 100% ได้ใน 79 นาที
โดยอุปกรณ์ภายในกล่องมีที่ชาร์จ 45W SUPERVOOC แถมมาให้เลย พร้อมเคสซิลิโคน และสายดาต้า USB และ OPPO Reno14 F 5G รองรับ 2 ซิมการ์ดแบบไฮปริด ช่องซิมที่สองสามารถสลับใส่ micro SDcard ได้
จอ AMOLED 120Hz ลื่นตา รองรับการแตะแม้นิ้วเปียก
หน้าจอของ Reno14 F 5G มาในขนาด 6.57 นิ้ว แบบ AMOLED ความละเอียด FHD+ มีฟีเจอร์ Splash Touch ที่รองรับการใช้งานแม้นิ้วเปียกหรือสวมถุงมือ รีเฟรชเรตสูงสุด 120Hz รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอโดยตรง ใช้งานในที่แสงน้อยสบายตาครับ ใช้การปรับแสงแบบ PWM Dimming ที่ 2160Hz ซึ่งลดความเมื่อยล้าดวงตาได้ดี ในเวลาจ้องจอนานๆ โดยเฉพาะตอนดูคลิปหรือเล่นเกมยาวๆ ถือว่าเป็นจอที่ปลอดภัยต่อดวงตาไม่เมื่อยล้ามากนัก
ใช้งานกลางแจ้งก็เห็นได้ชัด เพราะมาพร้อมความสว่างสูงสุด 1400 nits
ในเรื่องของระบบเสียง ก็มาพร้อมกับลำโพงคู่สเตอริโอ ที่สามารถเร่งเสียงให้ดังมากกว่าปกติได้ถึง 300% เสียงดังมาก ใช้งานภายนอกยังได้ยินเสียงลำโพงชัด ใช้งานภายในห้องอยู่ในระดับดังจนคนอื่นตกใจได้เลย ^^
ใช้ Snapdragon 6 Gen 1 แรงพอตัว ไม่ร้อนง่าย เล่นเกมได้ดี
แม้จะไม่ใช่ชิประดับเรือธง แต่ Snapdragon 6 Gen 1 โดยเมืองไทยเปิดจำหน่ายในขนาด RAM 12GB (LPDDR4X) ขยายได้อีก 12GB และ ROM 256GB (UFS 3.1) ในรุ่นนี้ก็ให้ประสบการณ์ใช้งานทั่วไปและเล่นเกมอย่าง MLBB หรือ PUBG ได้อย่างลื่นไหล การใช้งานทั่วไปเพียงพอ ข้อดีคือเครื่องไม่ร้อน ไม่กินพลังงาน ไม่ช้า ไม่ค้าง แต่อึดพอจะใช้งานต่อเนื่องได้ทั้งวัน
เสริมพลังจาก AI HyperBoost 2.0 ที่ช่วยรักษาเฟรมเรตในการเล่นเกม และใช้ระบบระบายความร้อนแบบคู่ VC + กราไฟต์ ที่ออกแบบมาให้มีพื้นที่ใหญ่และบางเป็นพิเศษ ช่วยควบคุมอุณหภูมิได้ดีจนรู้สึกว่า “เครื่องไม่ร้อนง่าย” แม้เล่นต่อเนื่องเป็นชั่วโมงครับ
นอกจากนี้ยังมี AI LinkBoost 3.0 ที่ช่วยให้สัญญาณเสถียรในที่คนเยอะ หรือ Wi-Fi หนาแน่น ช่วยลดดีเลย์เวลาสตรีมหรือแข่งเกมแบบเรียลไทม์ การจับสัญญาณต่างๆ ทำได้ดีแม้อยู่ในอาคารหรือชั้นใต้ดิน ไม่เจอปัญหาใดๆ ในระหว่างการลองใช้งาน
OPPO Reno14 5G สมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับพอร์ตเทรตซูมได้ 3.5 เท่า ตัวเดียวในระดับราคานี้
OPPO Reno14 5G สมาร์ตโฟนที่ออกแบบมาเพื่อคนที่ต้องการความครบ ทั้งกล้องที่ยืดหยุ่นรองรับได้ในทุกสถานการณ์ ระบบ AI อัจฉริยะ และดีไซน์ตัวเครื่องที่เพรียวบางเป็นพิเศษ มีความแรงในด้านสเปกการใช้งานที่อยู่ในระดับกลาง-ค่อนสูง เป็นตัวจบในงบหมื่นกลางๆ
กล้องหลังครบทั้งมุมกว้าง พอร์ตเทรตซูมได้ 3.5x ซูมไกล 120x และกล้องหน้า 50MP
OPPO Reno14 5G เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกและเป็นเพียงรุ่นเดียวในตลาด ที่มาพร้อมกล้องพอร์ตเทรตซูมได้ 3.5x ในเรทราคานี้ นี้คือจุดเด่นที่ทาง OPPO ใส่เข้ามาให้เหนือกว่าใคร เพราะเป็นระยะการซูมถ่ายด้วยเลนส์ ไม่ใช่การถ่ายด้วยการซูมแบบซอฟท์แวร์ พร้อมระยะการถ่ายที่ครอบคลุมไว้กว้างมาก เพราะรองรับการซูมได้ไกลถึง 120x เลยทีเดียว และยังให้กล้องหน้าความละเอียด 50MP มาใช้งานอีกด้วย ในด้านฟังก์ชั่นกล้องจึงถือว่าเป็นที่สุดของรุ่นเลยทีเดียว
OPPO Reno14 5G มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย:
-
กล้องหลัก 50MP (Sony IMX882) ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.95” พร้อม OIS
-
กล้อง Ultra-Wide 8MP มุมกว้างพิเศษ 116 องศา
-
กล้อง Periscope Telephoto 50MP ระยะซูม 3.5x ระยะโฟกัส 80 มม. พร้อม OIS เช่นกัน
รองรับการซูมภาพได้ตั้งแต่มาโครระยะใกล้ ไปจนถึงซูมไกลด้วย AI ถึง 120x ภาพออกมาดูสวย คมชัด ใช้ติดตัวไปท่องเที่ยวได้อย่างสบาย
ซูมไกลขนาด 120 เท่า ยังอ่านได้ชัดขนาดนี้ สุดยอดมากสำหรับสมาร์ตโฟนราคาแค่หมื่นกลางๆ
ฟิลเตอร์และโหมดถ่ายภาพในสถานการณ์ต่างๆ ใส่เข้ามาเยอะมาก เป็นรุ่นที่ฟังก์ชั่นกล้องค่อนข้างเยอะ และใช้งานดี ผลลัพท์แต่ละโหมดทำออกมาได้สวยงาม
ตัวอย่างภาพถ่ายหลายระยะการซูม
Periscope Telephoto 50MP ระยะซูม 3.5x ช่วยเพิ่มความสามารถในการถ่ายภาพพอร์ตเทรต เพราะมีระยะการซูมที่ลึกกว่า เป็นระยะนิยมที่ใช้ในการถ่ายภาพบุคคลโดยเฉพาะ (85mm) และเป็นเพียงรุ่นเดียวในตลาดระดับราคาเดียวกันที่จะมีมาให้
ซูมพร้อมเปิดฟิลเตอร์ และปรับรีทัชใบหน้า ทำงานร่วมกันได้ปกติทุกฟังก์ชั่น ไม่มีข้อจำกัดครับ
กล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 50MP พร้อมออโต้โฟกัส ซึ่งหาได้ยากในรุ่นระดับนี้ ช่วยให้ภาพเซลฟี่มีความคมชัด รองรับการเซลฟี่มุมกว้างสำหรับการถ่ายภาพกลุ่ม และสามารถซูมเซลฟี่ 2x ได้ด้วยครับ
โหมดถ่ายภาพด้วย AI Flash Photography ที่มีความสว่างสูงสุดของอุตสาหกรรม
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ช่วยยกระดับภาพถ่ายพอร์ตเทรตคือฟีเจอร์ AI Flash Photography ที่ OPPO พัฒนาขึ้นมา ก็มีมาให้ทุกรุ่นของซีรี่ส์ โดยเฉพาะในรุ่น Reno14 5G ซึ่งจะมาพร้อมระบบแฟลช 3 ตัว เพราะนอกจากจะมีไฟแฟลชคู่ที่มีความสว่างสูงแล้ว ยังมีการใส่แฟลชโฟกัสเพื่อช่วยในเวลาถ่ายในแสงน้อย แก้ปัญหากล้องจะจับโฟกัสช้า หรือโฟกัสพลาดทำให้ภาพเบลอ แฟลชโฟกัสช่วยให้โฟกัสแม่นขึ้น ช่วยให้กล้องเห็นวัตถุชัดขึ้นก่อนถ่ายจริง และช่วยให้ปรับสมดุลแสงได้แม่นยำมากขึ้นด้วย โดยการทำงานของแฟลช 3 ตัวด้านหลัง Reno14 5G จะทำงานในลักษณะต่างกันในแต่ละเลนส์ครับ
-
เมื่อใช้กล้องหลักและเลนส์มุมกว้าง: ระบบจะใช้ไฟแฟลชคู่ (Dual Flash) ที่ให้ความสว่างเพิ่มขึ้น 100% ที่ระยะ 1 เมตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
-
เมื่อใช้เลนส์เทเลโฟโต้: จะทำงานพร้อมแฟลชโฟกัสเฉพาะ ที่ให้ความสว่างเพิ่มขึ้นถึง 1,000% ที่ระยะ 2 เมตร ซึ่งถือเป็นระดับความสว่างสูงสุดของอุตสาหกรรม
-
แฟลชโฟกัสยังสามารถเปิดใช้งานร่วมกับกล้องหลักได้เช่นกัน หากใช้ระยะโฟกัสตั้งแต่ 2 เท่าขึ้นไป
ภาพถ่ายพอร์ตเทรตจะมีความสนุกมากขึ้น ถ่ายในหลายสภาพแสงได้มากขึ้น ได้ภาพสไตล์ใหม่ที่ดูย้อนยุคแบบ Y2K อารมณ์ไฟแฟลชจากกล้องเก่าๆ แถมยังรองรับการถ่ายบุคคลได้ในระยะไกลด้วยแสงแฟลชด้วยเพราะไฟสว่างได้ไกล
ดีไซน์ที่เบา บาง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เมื่อหยิบจับ OPPO Reno14 5G สิ่งที่รู้สึกได้คือความบางและเบา ตัวเครื่องหนาเพียง 7.42 มม. และหนัก 187 กรัม แม้จะบรรจุแบตฯ 6,000 mAh เอาไว้ภายใน ซึ่งถือว่าทำได้ดีด้านวิศวกรรมการออกแบบ
ฝาหลังเลือกใช้วัสดุกระจกแบบ Velvet Glass ให้สัมผัสนุ่มคล้ายผ้าไหม และพื้นผิวแบบ AG (Anti-Glare) ทำให้ไม่เป็นรอยนิ้วมือง่าย
สำหรับ สีขาว Opal White ถือเป็นรุ่นที่สะท้อนอัตลักษณ์ความหรูหราในแบบสะอาดตาได้อย่างชัดเจน ฝาหลังผลิตจาก กระจกกำมะหยี่ (Velvet Glass) ที่ให้ผิวสัมผัสนุ่มลื่นและเรียบเนียน โดยยังคงสื่อถึงแรงบันดาลใจจากธรรมชาติผ่านลวดลายเฉพาะตัวในแบบ “หางปลาพลิ้วไหว” ซึ่ง OPPO ใช้เทคนิคการพิมพ์ลวดลายระดับไมครอนถึง 5 ชั้น เพื่อให้แสงสะท้อนบนฝาหลังดูพลิ้วไหว ละเอียดอ่อน เปลี่ยนเฉดไปตามมุมมองอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งสวยงามและแฝงกลิ่นอายของความอิสระในสไตล์คนรุ่นใหม่
ในด้านโครงสร้าง ตัวเครื่องของ Reno14 5G ใช้ กรอบอลูมิเนียมเกรดอากาศยาน ที่ผ่านการขึ้นรูปจากวัสดุชิ้นเดียว ไม่เพียงให้ความแข็งแรงทนทานมากขึ้นถึง 200% เมื่อเทียบกับกรอบพลาสติกทั่วไป แต่ยังมีคุณสมบัติป้องกันการบิดงอและการกัดกร่อนได้ดีเยี่ยม เสริมด้วย การปกป้องรอบด้านจากการตกกระแทก ด้วยเทคโนโลยีฟองน้ำไบโอนิค (Bionic Cushioning) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากโครงสร้างของฟองน้ำธรรมชาติ ช่วยดูดซับแรงกระแทกรอบตัวเครื่องอย่างชาญฉลาด และยังครอบคลุมไปถึงเลเยอร์ป้องกันบนหน้าจอที่ใช้กระจก Corning Gorilla Glass เพิ่มความมั่นใจได้ในทุกสถานการณ์ใช้งาน
แม้จะมีดีไซน์ที่เน้นความบางเฉียบเพียง 7.42 มิลลิเมตร และน้ำหนักเพียง 187 กรัม แต่ OPPO Reno14 5G ยังสามารถผ่านมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นระดับสูงสุดถึง IP66 / IP68 / IP69 ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลกับละอองน้ำ ฝุ่น หรือแม้แต่การตกน้ำแบบไม่ตั้งใจ
สำหรับอีกหนึ่งสีคือ สีเขียว Luminous Green ที่เน้นลุคทันสมัยและโดดเด่นด้วยการใช้เทคนิค Luminous Loop เคลือบผิวฝาหลังแบบพิเศษ เพื่อให้เกิดเอฟเฟกต์แสงเรืองแบบไดนามิก ช่วยให้ตัวเครื่องดูเปลี่ยนเฉดสีและสะท้อนแสงได้อย่างมีชีวิตชีวาในทุกการเคลื่อนไหว ขนาดและน้ำหนักของรุ่นนี้ยังคงเท่ากับรุ่นสีขาวที่ 157.90 × 74.73 × 7.42 มม. และ 187 กรัม
OPPO Reno14 5G รองรับการใส่ 2 ซิมการ์ดแต่ไม่รองรับ micro SDcard เพิ่มเติมนะครับ และรองรับการใช้งาน eSim ได้แทนสล็อตซิมที่สองด้วย ต้องเลือกใช้ระหว่างซิมที่ 2 กับ eSim อย่างใดอย่างหนึ่ง
หน้าจอ AMOLED ความละเอียด 1.5K ให้ภาพคมชัดในทุกสภาพแสง
หน้าจอขนาด 6.59 นิ้วแบบแบน (Flat Display) ความละเอียด 2760 x 1256 พิกเซล (1.5K) รองรับ Refresh Rate สูงสุด 120Hz และความสว่างสูงสุด 1200 nits ในโหมดกลางแจ้ง แสดงผลได้เต็มตาด้วยขอบจอบางเพียง 1.6 มม. พร้อมเทคโนโลยี Splash Touch และ Glove Mode ใช้งานได้แม้ขณะมือเปียกหรือใส่ถุงมือ
หน้าจอยังผ่านการรับรอง HDR10+ ให้สีสันถูกต้องลึกระดับ 10-bit และมีระบบ PWM Dimming ที่ความถี่ 3840Hz ลดการกระพริบของจอ ช่วยถนอมสายตาเมื่อใช้งานในที่แสงน้อย ลำโพงสเตอริโอคู่ กับโหมดเพิ่มระดับเสียงพิเศษ ซึ่งลำโพงของ OPPO Reno14 5G เป็นเครื่องที่มีลำโพงเสียงดีทีเดียวครับ ตัวเสียงมีพลัง มีเนื้อเสียง ไม่แตกไม่แหลม ใช้งานแทนลำโพงพกพาภายนอกขนาดเล็กได้เลย
แบตใหญ่ 6,000 mAh พร้อมชาร์จไว 80W SUPERVOOC
แม้จะมีตัวเครื่องบางเฉียบ แต่แบตเตอรี่กลับใหญ่ถึง 6,000 mAh รองรับการใช้งานต่อเนื่อง 2 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และเล่นเกม MLBB ได้ราว 10 ชั่วโมง
รองรับชาร์จไว 80W SUPERVOOC ชาร์จเต็ม 100% ภายใน 48 นาที และหากเร่งด่วน แค่ 10 นาที ก็ใช้งานโทรศัพท์ได้นานถึง 12.8 ชั่วโมง หรือดู YouTube ได้ 6.5 ชั่วโมง
อุปกรณ์ภายในกล่องก็จะมีที่ชาร์จ 80W SUPERVOOC เคสซิลิโคน และสายดาต้ามาให้เรียบร้อยครับ
ชิปเซ็ต Dimensity 8350 + AI ระดับเรือธง
ขุมพลังหลักของ Reno14 5G คือ MediaTek Dimensity 8350 ซึ่ง OPPO ปรับจูนพิเศษร่วมกับ MTK ใช้แกน Cortex-A715 และ A510 ทำความเร็วสูงสุด 3.35GHz พร้อม GPU Mali-G615 แบบ 6 คอร์ การประมวลผล AI ได้รับการเสริมด้วย NPU 780 ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 3.3 เท่า เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มรุ่นก่อน
เมืองไทยเปิดจำหน่ายในขนาด RAM 12GB (LPDDR4X) ขยายได้อีก 12GB และ ROM 256GB (UFS 3.1)
นอกจากนี้ยังมีระบบระบายความร้อนแบบ AI Nano Dual-Drive ที่ใช้ vapor chamber พร้อมกราไฟต์เกรดระดับสูง ช่วยให้ตัวเครื่องระบายความร้อนได้ไวขณะเล่นเกมหรือใช้งานหนัก
OPPO Reno14 5G มาพร้อมระบบ AI HyperBoost 2.0 ที่ช่วยให้การเล่นเกมหรือใช้งานแอปต่างๆ เป็นไปอย่างลื่นไหล เฟรมเรตนิ่ง ควบคุมอุณหภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดสรรทรัพยากรเครื่องให้เหมาะสมกับสถานการณ์แบบเรียลไทม์
เสริมด้วย AI LinkBoost 3.0 ที่ช่วยให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังคงเสถียรแม้อยู่ในพื้นที่ที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น เช่น คอนเสิร์ต ห้างสรรพสินค้า หรือสนามกีฬา โดยระบบจะวิเคราะห์และเลือกเส้นทางการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดอย่างอัตโนมัติ พร้อมลำดับข้อมูลสำคัญให้โหลดก่อน สัญญาณนิ่ง เชื่อมต่อไว ไม่มีปัญหาใดๆ ในตลอดการทดสอบใช้งาน.
การใช้งานต่างๆ ไหลลื่นครับ มีความเสถียรสูง ไม่เจอปัญหาใดๆ ในการใช้งาน ให้ความรู้สึกเป็นเครื่องระดับกลาง-ค่อนสูง ทำอะไรได้เร็วทันใจมากพอ และที่สำคัญ คือแบตเตอรี่อึดมาก แม้ตัวเครื่องดูบางซ่อนรูปอยู่ก็ตาม
ความสามารถ AI Productivity ที่ครบทั้งงานและชีวิต
Reno14 F 5G และ Reno14 5G มาพร้อมระบบ Android 15 ครอบทับด้วย ColorOS 15 ที่มีฟีเจอร์ AI ครบเครื่องสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน และการทำงาน ซึ่งถือว่าใส่เข้ามาเยอะมากในหลายๆ ด้านเลยครับ เช่นด้านการจัดการภาพ, แก้ไขภาพ, การจัดการเอกสาร, การแปลภาษา, การช่วยบันทึก โดยผมนำตัว AI ที่น่าสนใจที่มีทั้งใน Reno14 F 5G และ Reno14 5G มาแนะนำให้รู้จักกันบางส่วนด้านล่างแล้วครับ
AI Style Transfer: เปลี่ยนภาพถ่ายเป็นงานศิลปะแบบมืออาชีพ
ใน OPPO Reno14 Series 5G จะมีบริการ AI Studio มาให้ใช้งานกันในเครื่อง เป็นระบบการจัดการเปลี่ยนแปลงภาพด้วย AI มีความสามารถเยอะมาก ทั้งเปลี่ยนรูปลักษณ์ ปรับลายเส้น สร้างภาพเคลื่อนไหวจากภาพนิ่ง และล่าสุดกับ “AI Style Transfer หรือการโอนย้ายสไตล์ภาพ”
เพียงแค่อัปโหลดภาพถ่ายต้นฉบับและเลือกรูปแบบภาพตัวอย่างที่เราต้องการจะเปลี่ยนไป เช่น อยากได้ภาพวาดแนวสีน้ำมัน ภาพแนวตุ๊กตา หรือพื้นผิวไม้ แค่อัปโหลดภาพต้นแบบ และภาพที่ต้องการจะเปลี่ยนไปให้ AI ตัวระบบจะทำการวิเคราะห์ลักษณะศิลปะจากภาพตัวอย่าง แล้วถ่ายโอนสไตล์นั้นมาใส่ในภาพของคุณได้ทันที เหมาะกับผู้ใช้ที่อยากสร้างสรรค์ภาพสไตล์ใหม่โดยไม่ต้องใช้แอปแต่งภาพเพิ่มเติม โดยผู้ใช้เครื่อง OPPO จะได้เครดิตไว้ใช้งาน AI Studio ได้ฟรีเมื่อเช็คอินเข้าแอป
ยางลบ AI 2.0 & ลบเงาสะท้อน: ลบสิ่งรบกวนในภาพได้เพียงแตะครั้งเดียว
หากคุณเคยมีภาพสวย ๆ ที่ถูกทำลายด้วยคนหรือวัตถุที่ไม่ต้องการในฉากหลัง ยางลบ AI 2.0 จะช่วยให้ลบออกได้ง่ายในคลิกเดียว โดยระบบสามารถตรวจจับและประมวลผลพื้นที่รอบข้างให้ดูเนียนสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ยังมี AI ลบเงาสะท้อน ที่ช่วยลบแสงสะท้อนจากกระจก หน้าต่าง หรือสิ่งของมันเงา ทำให้ภาพที่ถ่ายผ่านกระจกดูสะอาด คมชัด เหมือนไม่มีกระจกกั้น
AI ปรับภาพเบลอให้คมชัด: กู้ภาพเสียให้กลับมาคม
ภาพที่ถ่ายเบลอเพราะมือสั่นหรือวัตถุเคลื่อนไหวเร็ว หรือภาพใดที่เราต้องการใช้แต่ไม่คมชัด ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ฟีเจอร์นี้ใช้ AI ในการวิเคราะห์ความคลาดเคลื่อนของภาพ แล้วเติมรายละเอียดกลับเข้าไปเพื่อให้ภาพคมชัดได้กว่าต้นฉบับจริง เหมาะกับภาพถ่ายสัตว์เลี้ยง หรือเด็ก ที่มักจะถ่ายภาพออกมาเบลอ หรือฉากแอคชั่นจากหนัง ที่เราอยากทำให้ภาพดูชัดเจนมากขึ้น
AI ปรับเฟรมภาพ (Auto Crop & Frame): จัดเฟรมภาพให้สวยในคลิกเดียว
เวลาเราถ่ายภาพ และไม่สามารถจัดคอมโพสภาพได้ทัน เราสามารถให้ AI พิจารณาจัดคอมโพสใหม่ ครอปภาพจัดเฟรม ไม่ว่าจะถ่ายภาพเอียง เฟรมหลุด หรือไม่สมดุล AI ก็สามารถแก้ไขให้ได้ในคลิ๊กเดียว พร้อมแนะนำอัตราส่วนภาพใหม่ๆ ที่เหมาะสมขึ้นมาให้ด้วยในทันที เช่น 1:1, 3:4 หรือ 16:9 และมีฟิลเตอร์ปรับเปลี่ยนสีภาพมาให้เราใช้งานไปพร้อมกันด้วย
AI ปรับหน้าเป๊ะ! การถ่ายใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ เปลี่ยนใบหน้าจากภาพอื่นที่ดีกว่า มาใส่แทนที่
เป็นความสามารถที่แปลกตาและทำมาได้ดีมาก ระบบตรวจจับใบหน้าของภาพถ่าย ที่ตัว AI จะรับรู้ได้ว่าเป็นใบหน้าของใครจากประวัติภาพถ่ายอื่นๆ ภายในเครื่อง และเราสามารถสลับเปลี่ยนใบหน้าของภาพนั้น ด้วยใบหน้าคนเดียวกันที่ดีกว่าจากภาพอื่นได้ครับ ไม่ได้เป็นการใช้ AI สร้างใหม่ ที่อาจจะทำออกมาไม่เหมือนหน้าคนนั้นจริงๆ
ระบบ AI ตัวนี้จึงแก้ได้หมด ไม่ว่าจะหลับตา ยิ้มไม่สวย ไม่ได้มองกล้อง ปรับเปลี่ยนเอาใบหน้าอื่นในเครื่องของคนเดียวกันมาใส่ ฉะนั้นยิ่งเราถ่ายภาพของคนเดิมๆ เอาไว้ในจำนวนมาก ก็จะมีใบหน้าสวยๆ มาให้เราเลือกเยอะตามไปด้วยนั้นเองครับ
AI Call Assistant: สรุปและถอดบทสนทนาการโทรแบบเรียลไทม์
ฟีเจอร์นี้ช่วยให้การโทรไม่ต้องจดจำด้วยตัวเองอีกต่อไป โดยจะทำหน้าที่สรุปบทสนทนา หรือถอดข้อความทั้งหมดจากเสียงระหว่างการโทรอัตโนมัติ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีงานสนทนาหรือข้อมูลสำคัญผ่านสายโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่องาน นัดหมาย หรือคำสั่งงานจากลูกค้า ไม่ใช่แค่บันทึกแบบทั่วไป แต่จะจัดทำออกมาเป็นสรุปให้ เข้าใจง่าย เนื้อหาไม่ยาว และหลังจากนั้นสามารถเข้าไปใช้ AI ให้แก้ไข หรือปรับแนวเนื้อหาได้ต่อเนื่องอีกด้วยครับ
AI VoiceScribe: แปลงเสียงพูดเป็นข้อความ รองรับหลายแอป
ฟีเจอร์นี้ทำหน้าที่เหมือนผู้ช่วยจดบันทึกส่วนตัว โดยสามารถแปลงเสียงพูดเป็นข้อความได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นจากแอปประชุมอย่าง Zoom, Microsoft Teams, LINE, WhatsApp หรือแม้แต่ YouTube พร้อมรองรับคำบรรยาย (subtitle) และการบันทึกเพื่อใช้งานภายหลัง ช่วยให้การเรียน ประชุม และสัมมนาง่ายยิ่งขึ้น
AI Translate: แปลภาษาเรียลไทม์ผ่านกล้อง หรือเสียง และบนหน้าจอ
เพียงยกกล้องไปส่องเมนู ป้าย หรือเอกสาร ระบบจะแปลข้อความทันทีผ่านภาพแบบเรียลไทม์ และยังรองรับการสนทนาแบบสองภาษา รวมถึงคำบรรยายสดระหว่างการประชุมหรือฟังวิดีโอ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้แอปแยก
รวมถึงการแปลบนหน้าเว็บไซด์ หรือหน้าการใช้งานในปัจจุบัน สะดวกมากเพราะไม่ต้องคัดลอก ไม่ต้องออกจากแอป แค่สไลด์เรียกใช้เครื่องแปลภาษาจาก “แถบด้านข้างอัจฉริยะ” ก็สามารถกดแปลได้ทันที
Google Gemini Integration: เชื่อมการใช้งาน AI เข้ากับแอปหลักของ OPPO
Reno14 Series รองรับการใช้งานร่วมกับ Gemini จาก Google ที่ฝังมาในแอปหลักของ OPPO เช่น Notes, Calendar, และ Clock เช่น สั่ง Gemini สรุปเนื้อหาบทเรียนจากเอกสารยาว ๆ หรือแปลงคลิปทำอาหารออกมาเป็นขั้นตอนแบบเข้าใจง่าย แล้วบันทึกลง Notes ได้ทันที
Circle to Search: ค้นหาทุกอย่างที่เห็นได้ทันทีด้วยการวง
ผู้ใช้สามารถวาดวงกลมบนหน้าจอรอบข้อความ รูปภาพ หรือสิ่งใด ๆ ที่เห็นอยู่ ระบบจะใช้ AI ช่วยค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต พร้อมสรุปคำตอบหรือข้อมูลประกอบให้อัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้ใช้งานง่ายและเร็ว เหมาะกับการค้นหาเพลง สินค้า หรือคำศัพท์ในพริบตา
O+ Connect: แชร์ข้ามระบบง่ายขึ้น ระหว่าง OPPO และ iOS, iPadOS
O+ Connect คือฟีเจอร์ที่ OPPO พัฒนาขึ้นเพื่อเชื่อมโยงการใช้งานระหว่างสมาร์ตโฟน OPPO กับอุปกรณ์ของ Apple อย่าง iPhone หรือ iPad ให้ “ไร้รอยต่อ” มากขึ้น โดยเฉพาะการส่งไฟล์ แชร์ภาพ หรือแม้แต่ Live Photo ที่เดิมทีมักจะมีข้อจำกัดด้านแพลตฟอร์ม ก็สามารถส่งต่อไปใช้งานบนอุปกรณ์ iOS ได้ทันทีด้วยเช่นกัน
จากเดิมการส่งไฟล์ระหว่าง Android กับ iOS อาจต้องใช้แอปเสริมหรือมีขั้นตอนซับซ้อน โดย O+ Connect จะสามารถใช้งานได้ง่ายกว่า และปลอดภัยมากกว่าการใช้แอปภายนอกครับ
AI Mind Space (เฉพาะใน OPPO Reno14 5G)
AI Mind Space คือผู้ช่วยอัจฉริยะที่เป็นหน้ารวบรวม ช่วยจัดระเบียบข้อมูลที่เราเก็บบันทึกไว้ให้อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ ลิงก์ หรือแชทสำคัญ เพียงแค่ปัด 3 นิ้วขึ้นบนหน้าจอ ระบบจะบันทึกเนื้อหาเหล่านั้นไว้ในพื้นที่รวมกลาง เพื่อให้คุณเรียกดูหรือค้นหาในภายหลังได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเปิดหลายแอปหรือจำว่าบันทึกไว้ที่ไหน เป็นฟังก์ชั่นใหม่ที่มีประโยชน์จริง เหมาะสำหรับคนที่ต้องทำงานหลายอย่างพร้อมกัน หรือใช้มือถือเป็นเครื่องมือจัดการข้อมูลในชีวิตประจำวันได้ดีมากๆ ครับ
สรุปหลังลองใช้งาน OPPO Reno14 Series 5G
OPPO Reno14 5G และ Reno14 F 5G คือสมาร์ตโฟนที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ยุคใหม่ โดยมีจุดร่วมที่น่าสนใจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6,000mAh, หน้าจอ AMOLED รีเฟรชเรต 120Hz, และฟีเจอร์ AI ด้านกล้อง ที่ครอบคลุมตั้งแต่ถ่ายภาพพอร์ตเทรตทั้งกลางวัน และกลางคืน ไปจนถึงการลบวัตถุและปรับองค์ประกอบภาพให้อัตโนมัติ
Reno14 5G เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความครบเครื่องทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ มาพร้อมชิป Dimensity 8350, ระบบกล้อง Periscope ซูม 3.5x และชาร์จไว 80W พร้อมฟีเจอร์เฉพาะอย่าง AI Mind Space ที่ช่วยจัดการข้อมูลได้จริงในระดับที่มือถือทั่วไปยังไม่มี
ขณะที่ Reno14 F 5G แม้จะไม่มีกล้องซูมหรือชิปเรือธง แต่ก็ยังให้ประสบการณ์ใช้งานที่ครบถ้วนในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย มีกล้องหน้า 32MP ที่คุณภาพดี และยังคงรองรับฟีเจอร์ AI สำคัญเกือบทั้งหมด รวมถึงดีไซน์ที่บางเบา และสีสันที่ถูกใจคนรุ่นใหม่
ในภาพรวม ทั้งสองรุ่นเน้นการใช้งานจริงมากกว่าการโชว์สเปก โดยเฉพาะด้านการถ่ายภาพ การเชื่อมต่อข้ามอุปกรณ์ และการจัดการพลังงาน ใครที่มองหาสมาร์ตโฟนที่ไม่ใช่แค่ความแรงบนกระดาษ แต่ใส่คุณสมบัติที่ใช้งานได้จริงในทุกวัน Reno14 Series ก็คือสองตัวเลือกที่แตกต่าง ตามสไตล์ของแต่ละคนที่เราแนะนำไว้ข้างต้นได้อย่างดีครับ
OPPO Pad SE รุ่น LTE แท็บเล็ตบางเบา เชื่อมต่อข้ามระบบง่าย ใช้งานได้นานในราคาที่จับต้องได้
แถมท้ายบทความด้วยแท็บเล็ตใหม่จาก OPPO แม้จะเป็นแท็บเล็ตในระดับราคาย่อมเยา แต่ OPPO Pad SE รุ่น LTE กลับมาพร้อมความสามารถที่ตอบโจทย์ทั้งการเรียน การทำงาน และความบันเทิง
ด้วยจุดเด่นด้านการเชื่อมต่อที่ลื่นไหลร่วมกับสมาร์ตโฟน OPPO ได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นการแชร์อินเทอร์เน็ตผ่าน Communication Sharing ที่จะเชื่อมต่อสัญญาณมือถือกับ GPS ได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน และประหยัดพลังงานมากกว่าการใช้ฮอตสปอตโดยทั่วไป สามารถแชร์ไฟล์, และฉายหน้าจอจากสมาร์ตโฟนไปแสดงและทำงานบนจอแท็บเล็ตได้โดยตรง
หลังจากเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนแล้ว ก็สามารถลากและวางไฟล์ที่ต้องการระหว่างแอปและอุปกรณ์ได้เลย โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสายใดๆ และรองรับการเชื่อมกับอุปกรณ์ iOS, iPadOS, macOS และ Windows ผ่านฟีเจอร์ O+ Connect ที่สะดวกในการใช้ไฟล์ร่วมกันกับอุปกรณ์ในระบบอื่น
OPPO Pad SE รุ่น LTE มาพร้อมหน้าจอถนอมสายตา เต็มอิ่มทุกมุมมองในขนาด 11 นิ้ว แบบ LCD ความละเอียด 2K ที่ผ่านการรับรอง Low Blue Light และ Flicker-Free จาก TÜV Rheinland เพื่อช่วยถนอมสายตาขณะใช้งานยาวนาน ความสว่างสูงสุดอยู่ที่ 500nits ในราคานี้ถือว่าให้จอที่มีความสว่างชัดเจนมาก เห็นได้ชัดพอเวลาใช้งานกลางแจ้ง
ใส่ลำโพงมาให้ถึง 4 ตัว พร้อมระบบเสียง Omnibearing Sound Field ที่ปรับทิศทางเสียงสเตอริโอตามการถือเครื่องอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นแนวตั้งหรือแนวนอน หรือจะถือทิศทางใด ลำโพง 4 ตัวก็จะสลับหน้าที่ซ้ายขวากันได้แม่นยำอย่างอัตโนมัติ รองรับเสียง Hi-Res และ Hi-Res Wireless สำหรับการเชื่อมต่อหูฟัง
ให้เสียงสมจริงครับ มีความดังชัด เหมาะทั้งการดูหนัง ดูการ์ตูน ใช้ฟังเพลง หรือเรียนออนไลน์
แม้กล้องของรุ่นนี้จะไม่เน้นการถ่ายภาพมากนัก (กล้องหน้า-หลัง 5MP) แต่ก็เพียงพอสำหรับการวิดีโอคอล ประชุมออนไลน์ หรือใช้งานในระดับพื้นฐาน ดีไซน์โดยรวมของ OPPO Pad SE รุ่น LTE เรียบหรู บางเพียง 7.39 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 530 กรัม มีให้เลือก 2 สีคือ สีเงิน Starlight Silver และสีน้ำเงิน Twilight Blue สำหรับรุ่น Wi-Fi โดยในรุ่น LTE จะมีเฉพาะ สีเงิน Starlight Silver
ขับเคลื่อนด้วยชิป MediaTek Helio G100 พร้อม RAM 4GB (ขยายได้อีก 4GB) และพื้นที่จัดเก็บ 128GB รองรับการเพิ่มด้วย micro SDcard ทำงานบนระบบปฏิบัติการ ColorOS 15 เป็นชิปใหม่สเปคไม่แรงมาก แต่เพียงพอต่อการใช้ทำงานทั่วไป
ระบบ ColorOS 15 มีการจัดการทรัพยากรที่ดีครับ ทำให้ตัวเครื่องมีความทนทานในการใช้ต่อเนื่อง ซึ่ง OPPO เคลมว่าสามารถรักษาประสิทธิภาพได้ยาวนานถึง 36 เดือน โดยที่ยังมีประสิทธิภาพคล้ายกับเครื่องที่ซื้อมาใหม่ๆ
จุดแข็งอีกอย่างคือแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 9,340mAh แบตเตอรี่ใหญ่มากก! ใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 11 ชั่วโมงสำหรับดูวิดีโอ, ดูคลิปสั้น หรือเล่นโซเชี่ยลโดยไม่มีพัก นอกจากนี้ยังมี โหมดประหยัดพลังงานอัจฉริยะ ที่ปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อไม่มีการใช้งานนานถึง 7 วัน และสามารถสแตนด์บายได้นานสูงสุดถึง 800 วัน
มาพร้อมระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC ที่ช่วยให้กลับมาใช้งานได้รวดเร็ว สามารถชาร์จแบตได้ประมาณ 30% ใน 30 นาที (ไม่แถมอะแดปเตอร์ชาร์จมาให้ภายในกล่อง)
แม้ OPPO Pad SE รุ่น LTE จะเป็นแท็บเล็ตในกลุ่มราคาย่อมเยา แต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการใช้งานด้วย AI โดยมีการใส่ความสามารถในการจัดการเอกสารอย่าง AI Document ฟีเจอร์ที่ช่วยให้การจัดการไฟล์เอกสาร ไม่ว่าจะเป็นการแปลงไฟล์ PDF เป็นข้อความรองรับการแปลภาษาในไฟล์เอกสารได้ทันทีโดยไม่ต้องไปหาแอปอื่นมาใช้งาน
AI Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะในระบบ ColorOS 15 ที่ช่วยรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลต่างๆ เช่น การแจ้งเตือน โน้ต ลิงก์ หรือเนื้อหาจากแอป เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลสำคัญได้รวดเร็วขึ้น สามารถสั่งให้ค้นหา บันทึก หรือย่อข้อมูลได้ผ่านระบบคำสั่งง่ายๆ
การแก้ไขภาพด้วยชุด AI Editor ฟีเจอร์นี่ใช้สำหรับการแก้ไขภาพถ่ายอย่างรวดเร็ว เราสามารถส่งภาพที่ต้องการแก้ไขมาปรับแต่งบนอุปกรณ์จอใหญ่อย่างแท็บเล็ต ก็จะเห็นได้ชัดเจนกว่า โดยมีการใส่ใช้ระบบอัตโนมัติมาให้ เช่น AI ลบวัตถุ , AI ปรับเพิ่มความคมชัด และ AI ลบเงาสะท้อน ทุกอย่างใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งแอปแต่งภาพภายนอก
สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก แท็บเล็ตรุ่นนี้ก็เหมาะครับ เพราะมาพร้อม โหมดจัดแต่งพิเศษสำหรับเด็ก ที่แยกสภาพแวดล้อมในการใช้งานออกมาให้โดยเฉพาะ พร้อมให้ผู้ปกครองควบคุมเวลาในการใช้งานแต่ละรอบ และกำหนดเนื้อหาที่อนุญาตให้เด็กใช้ได้อย่างละเอียด
ทาง OPPO ออกแบบการทำงานของโหมดจัดแต่งพิเศษสำหรับเด็กออกมา ให้ใช้งานได้ง่ายกว่า Google Kids Space มีระบบป้องกันสายตาอัจฉริยะ แจ้งเตือนให้เด็กทราบว่ากำลังอยู่ในที่ที่แสงสว่างน้อยเกินไป และเด็กๆ ไม่ต้องปลดล็อกหน้าจอก่อนให้ซับซ้อน แต่เมื่อกดปลุกเครื่องขึ้นมาใช้งานก็จะเข้าสู่โหมดจัดแต่งพิเศษสำหรับเด็กได้ทันที แต่ถ้าต้องการจะออกจากโหมด จะต้องมีรหัสผ่านของผู้ปกครองเท่านั้นถึงจะปลดล็อคได้
สรุป
หากคุณกำลังมองหาแท็บเล็ตสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน สำหรับรับชมความบันเทิง เรียนหนังสือ หรือใช้ในธุรกิจออนไลน์ หรือจะซื้อให้เด็กใช้ รุ่นนี้หน้าจอใหญ่ ภาพชัด แบรนด์ดี มีความทนทาน ใช้งานได้ยาวนานและวางใจได้ในความปลอดภัย ภายในมีฟีเจอร์เพื่อครอบครัวและการเรียนรู้ครบถ้วนในราคาที่ไม่สูงเกินไป
อีกทั้งยังมีการเชื่อมต่อกับมือถือ OPPO ได้อย่างราบรื่น
OPPO Pad SE รุ่น LTE คือหนึ่งในตัวเลือกที่ “คุ้มและใช้งานได้จริง” ในราคาประทับใจครับ
ราคาและโปรโมชั่น
OPPO Reno14 F 5G
-
12GB + 256GB: 12,999 บาท
-
12GB + 512GB: 14,999 บาท
-
ราคาพิเศษ (เฉพาะช่องทางออนไลน์):
-
8GB + 256GB: 11,999 บาท (เฉพาะ OPPO Online / OPPO Brand Store)
-
OPPO Reno14 5G
-
12GB + 256GB: 16,999 บาท
-
12GB + 512GB: 18,999 บาท
-
สี Mint Green: วางจำหน่ายกลางเดือนกรกฎาคม
OPPO Pad SE
-
Wi-Fi Version: 5,999 บาท
-
LTE Version: 6,999 บาท
-
ของแถม:
-
เคส OPPO Pad SE Smart Flip Cover มูลค่า 1,198 บาท
-
ส่วนลด 500 บาท เมื่อซื้อพร้อมสมาร์ตโฟน OPPO รุ่นที่ร่วมรายการ
-