ในโลกเทคโนโลยี เรามักเห็นหลายบริษัทก่อตั้งขึ้นด้วยพันธกิจที่ยิ่งใหญ่ เช่น “เพื่อสาธารณะ” หรือ “ไม่แสวงหากำไร” เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดแรงสนับสนุนจากสังคม แต่เมื่อเวลาผ่านไปและความเป็นจริงทางธุรกิจบีบคั้น บริษัทเหล่านี้จำนวนไม่น้อยต้องเปลี่ยนนโยบายสู่ profit model เพื่อความอยู่รอดและการเติบโต
ก่อนอื่นเรามารู้จัก Profit model หรือ รูปแบบการทำกำไร ว่ามันมีแนวทางหลักๆ อะไรบ้างกันก่อนครับ
รูปแบบแรกคือ non-profit องค์กรประเภทนี้ตั้งขึ้นมาโดยไม่เน้นผลกำไร เช่น มูลนิธิหรือโครงการโอเพ่นซอร์ส รายได้ที่ได้มาจะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมหรือการวิจัย ไม่ถูกแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้น จุดแข็งคือสร้างความไว้วางใจและภาพลักษณ์เพื่อสาธารณะ แต่ข้อเสียคือหาเงินทุนยากและขยายตัวได้ช้า
ถัดมาคือ hybrid หรือ capped-profit ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง non-profit และ for-profit โดยเปิดให้มีนักลงทุนเข้ามา แต่จำกัดผลตอบแทนของนักลงทุนไม่ให้เกินเพดานที่กำหนด เช่น ลงทุน 1 บาท อาจได้ผลตอบแทนสูงสุดไม่เกิน 100 บาท ส่วนรายได้ที่เกินกว่านั้นจะถูกนำกลับมาใช้ในองค์กรอีกที รูปแบบนี้ช่วยให้บริษัทมีเงินทุนมากขึ้นโดยยังรักษาภาพว่าไม่ใช่บริษัทหิวกำไรเต็มตัว แต่ก็ไม่ถูกใจนักลงทุนระยะยาวเพราะมีข้อจำกัด
สุดท้ายคือ for-profit ซึ่งเป็นรูปแบบบริษัทเชิงพาณิชย์ทั่วไป เน้นสร้างกำไรสูงสุดให้ผู้ถือหุ้น รายได้ถูกนำไปปันผล ขยายกิจการ หรือนำไปดึงดูดการลงทุนเพิ่ม รูปแบบนี้เป็นเครื่องจักรธุรกิจที่โตไวที่สุด เพราะไม่มีเพดานมาควบคุม แต่ข้อเสียคืออาจถูกวิจารณ์ว่าทำลายอุดมการณ์หรือหลักการเดิมที่เคยประกาศไว้ตอนเริ่มต้น
และนี่คือ 4 กรณีศึกษา ที่ชัดเจนที่สุดในวงการไอที รวมถึงกรณีของบริษัท OpenAI ที่กำลังมีปัญหาในการเปลี่ยนผ่านโมเดลธุรกิจไปเป็น profit model เพราะปัญหาความขาดทุนด้วยเช่นกัน เรามาดูว่ามีบริษัทอะไรบ้าง ที่เริ่มต้นด้วยความสวยงาม ก่อนที่จะต้องเปลี่ยนผ่านเพราะด้านปัญหาเงินทุน
ในบทความนี้
1. OpenAI – จาก Non-profit → Capped-profit → For-profit?
-
เริ่มต้น (2015): ตั้งเป็น non-profit เพื่อทำ AI “เพื่อมนุษยชาติ” และสร้างความเชื่อมั่นว่าจะไม่ถูกครอบงำด้วยผลกำไร
-
เปลี่ยน (2019): สร้างบริษัทลูก OpenAI LP (capped-profit) → เปิดรับการลงทุนจาก Microsoft และ VC แต่จำกัดผลตอบแทนของนักลงทุนไม่เกินเพดานที่กำหนด (เช่น 100 เท่าของเงินลงทุน)
-
ผลลัพธ์: ได้เงินทุนก้อนใหญ่ (Microsoft ลงทุนกว่า 13,500 ล้านดอลลาร์) แต่ถูกวิจารณ์ว่าหักหลังพันธกิจดั้งเดิม
-
ผลเสีย: ความไว้วางใจจากชุมชนวิจัยและผู้ก่อตั้งเดิม (เช่น Elon Musk) สั่นคลอน และตอนนี้กำลังถูกกดดันให้กลายเป็น for-profit เต็มรูปแบบ เพื่อระดมทุนเพิ่ม
2. Mozilla (Firefox) – จาก Non-profit → Hybrid with For-profit Subsidiary
-
เริ่มต้น (2003): Mozilla Foundation ตั้งขึ้นเป็น non-profit เพื่อพัฒนาเบราว์เซอร์โอเพ่นซอร์ส Firefox โดยยึดอุดมการณ์ “เว็บเสรีเพื่อทุกคน”
-
เปลี่ยน (2005): สร้างบริษัทลูก Mozilla Corporation (for-profit) เพื่อจัดการรายได้ โดยเฉพาะดีลกับ Google (ค่าใช้การค้นหาเป็น default search engine)
-
ผลลัพธ์: Mozilla มีรายได้มหาศาล (ส่วนใหญ่จาก Google) จน Firefox เติบโตอย่างรวดเร็ว
-
ผลเสีย: ถูกวิจารณ์ว่าพึ่งพา Google เกินไป และไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ “ไม่แสวงหากำไร”
3. Wikipedia / Wikimedia Foundation – Non-profit + Enterprise Service
-
เริ่มต้น: Wikipedia ดำเนินงานโดย Wikimedia Foundation (non-profit) พึ่งพาการบริจาคจากผู้ใช้ทั่วโลก
-
เปลี่ยน (2021): เปิดบริการ Wikimedia Enterprise (for-profit service) เพื่อขายข้อมูลและ API ให้บริษัทใหญ่ เช่น Google, Amazon
-
ผลลัพธ์: เพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ ลดการพึ่งพาการบริจาคอย่างเดียว
-
ผลเสีย: ผู้ใช้และอาสาสมัครบางส่วนไม่พอใจ มองว่าขัดกับจิตวิญญาณเดิมของ Wikipedia ที่ว่า “ความรู้ควรเข้าถึงได้ฟรีและเป็นกลาง”
4. Red Hat (โอเพ่นซอร์ส → เชิงพาณิชย์เต็มตัวภายใต้ IBM)
-
เริ่มต้น: Red Hat ทำเงินจากการขายบริการซัพพอร์ตซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (Linux) โดยยังยึดอุดมการณ์ community-driven
-
เปลี่ยน (2019): ถูกซื้อโดย IBM (for-profit) และในปี 2023 มีการจำกัดการเข้าถึงโค้ด RHEL (Red Hat Enterprise Linux)
-
ผลลัพธ์: ทำให้ IBM มีรายได้แน่นอนจาก subscription
-
ผลเสีย: ชุมชนโอเพ่นซอร์สไม่พอใจ มองว่าขัดกับอุดมการณ์โอเพ่นซอร์ส → ก่อให้เกิดโครงการคู่แข่ง เช่น Rocky Linux, AlmaLinux
กรณีศึกษาของ OpenAI, Mozilla, Wikimedia และ Red Hat สะท้อนให้เห็นว่า “การประกาศเป็น non-profit” มักถูกใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและศรัทธาในช่วงเริ่มต้น เพราะองค์กรสามารถบอกสังคมได้ว่าไม่ได้มุ่งหวังกำไร แต่ต้องการทำเพื่อสาธารณะ อย่างไรก็ตาม เมื่อธุรกิจเติบโตและต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อขยายงาน โครงสร้างแบบ non-profit ก็มักไปต่อไม่ได้ จึงเกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบที่รองรับการลงทุนและผลตอบแทนของนักลงทุนมากขึ้น
เมื่อมองทั้งสี่กรณีศึกษา เราจะเห็นชัดว่าการเริ่มต้นด้วย non-profit อาจสร้างความศรัทธาได้ แต่หากภายหลังเปลี่ยนนโยบายไปสู่ profit model แบบอื่นโดยไม่โปร่งใสหรือสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ความน่าเชื่อถือที่สะสมมาก็อาจพังทลายได้ในเวลาอันรวดเร็ว และเป็นประเด็นที่หลายคนในแวดวงวิชาการ–ธุรกิจ AI กำลังวิพากย์วิจารณ์กันอย่างเมามัน