RAM หรือหน่วยความจำแบบชั่วคราว เป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของสมาร์ตโฟน Android ทุกเครื่อง ไม่ว่าคุณจะใช้งานเบาๆ อย่างเปิดแอปโซเชียล หรือเล่นเกมกราฟิกหนักๆ RAM ก็มีบทบาทในการเก็บข้อมูลที่ระบบต้องใช้ “ทันที” เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานลื่นไหล แต่เมื่อแอปมากขึ้น ใช้งานหนักขึ้น RAM ก็อาจใกล้เต็มได้ — แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ RAM หมด?
แม้ว่าโทรศัพท์ Android รุ่นใหม่ๆ จะมาพร้อม RAM มากขึ้นเรื่อยๆ จนเทียบเท่า PC ระดับกลาง แต่การจัดการ RAM ยังต้องพึ่งพากลไกภายในระบบ Android เอง เช่น zRAM, swap, และในบางรุ่นยังมีฟีเจอร์ RAM เสมือน ที่ขยายความสามารถของ RAM เดิม ด้วยการใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาเสริมชั่วคราว เช่น RAM Plus ของ Samsung หรือ Memory Extension ของ Xiaomi บทความนี้จะพาคุณเข้าใจเบื้องหลังทั้งหมดว่าระบบ Android รับมือกับ RAM อย่างไรเมื่อถึงขีดจำกัด
ในบทความนี้
RAM บน Android ทำงานอย่างไร?
เมื่อผู้ใช้เปิดแอปพลิเคชัน Android จะโหลดข้อมูลและโค้ดที่จำเป็นขึ้นมาบน RAM เพื่อให้แอปทำงานได้รวดเร็วที่สุด หาก RAM เพียงพอ คุณสามารถสลับแอปไปมาได้โดยไม่ต้องโหลดใหม่ แต่ถ้า RAM เริ่มใกล้เต็ม ระบบจะเริ่มใช้เทคนิคเบื้องหลังหลายอย่างเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ให้เหมาะสมโดยไม่กระทบต่อประสบการณ์ใช้งาน
zRAM: เครื่องมือหลักของ Android ในการ “บีบอัด” ความจำ
ทุกเครื่อง Android สมัยใหม่ใช้ zRAM ซึ่งคือการสร้างพื้นที่จำลองใน RAM เอง แล้วบีบอัดข้อมูลของแอปที่ไม่ใช้งานไว้ชั่วคราว หากผู้ใช้เปิดแอปนั้นกลับมาอีก zRAM จะ “คลาย” ข้อมูลออกมาจากการบีบอัด ทำให้ไม่ต้องโหลดใหม่ทั้งหมด zRAM จึงช่วยลดการปิดแอปเบื้องหลังได้มากโดยไม่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลจริง
อย่างไรก็ตาม zRAM ก็ยังใช้ RAM จริงในการทำงาน และมีขีดจำกัดการขยายที่ผู้ผลิตสามารถกำหนดได้เอง เช่น ใน Samsung Galaxy S25 Ultra ระบบจะกำหนดเป้าหมายขนาดของ zRAM สูงสุดไว้ที่ระดับต่างๆ ตามที่ผู้ใช้เลือกผ่านฟีเจอร์ RAM Plus
Swap: เมื่อ zRAM ไม่พอ ระบบจะทำอย่างไร?
หาก zRAM เริ่มเต็ม Android จะใช้กระบวนการชื่อว่า kswapd
เพื่อ “สลับ” (swap) ข้อมูลที่สามารถโหลดซ้ำจากที่จัดเก็บลงไปยัง storage ชั่วคราว หรือในบางระบบจะใช้ swap file โดยตรงบนพื้นที่จัดเก็บเป็น RAM เสมือน
โดยทั่วไป Android แบบดั้งเดิม (stock) จะไม่ใช้ swap file จริงจังนัก แต่ผู้ผลิตบางรายเช่น Xiaomi ได้เพิ่มการใช้ swap file เข้ามาในฟีเจอร์ “Memory Extension” โดยจะเห็นพื้นที่เก็บข้อมูลใน /data
ถูกใช้เพิ่มขึ้นตามปริมาณ RAM เสมือนที่ตั้งไว้ แสดงให้เห็นว่า Xiaomi ใช้พื้นที่จริงบน UFS storage เป็น swap file เสริมจาก zRAM
RAM เสมือน: Samsung RAM Plus vs Xiaomi Memory Extension
ฟีเจอร์อย่าง Samsung RAM Plus และ Xiaomi Memory Extension คือการเพิ่ม “RAM เสมือน” จากพื้นที่เก็บข้อมูลหลัก โดยมีจุดประสงค์หลักคือการเพิ่มความสามารถในการเก็บแอปเบื้องหลังไว้ได้นานขึ้น
ในกรณีของ Samsung RAM Plus การปรับค่าจริงๆ แล้วคือการเปลี่ยนเป้าหมายขนาดของ zRAM (ไม่ใช่การเพิ่ม swap file) ระบบจะพยายามบีบอัดข้อมูลมากขึ้นหากตั้งค่า RAM Plus สูง เช่น 8GB ทำให้สลับแอปได้ราบรื่นกว่า แต่ก็อาจทำให้เครื่องช้าลงเล็กน้อยจากภาระการบีบอัด
ในทางตรงกันข้าม Xiaomi ใช้ทั้ง zRAM และ swap file จึงเก็บแอปได้นานกว่าในภาวะโหลดสูง แต่การสลับแอปกลับจาก storage จะช้ากว่าการสลับจาก zRAM
แล้วถ้า RAM เต็มจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น?
ในสถานการณ์ที่ RAM จริง zRAM และ swap ทั้งหมดใกล้หมด Android จะเริ่ม ปิดแอปที่ไม่ได้ใช้งานอยู่เบื้องหลังทันที เพื่อให้พื้นที่ว่างสำหรับแอปที่ใช้อยู่
จากการทดสอบบน Samsung Galaxy S25 Ultra และ Xiaomi 15 Ultra พบว่า ต้องเปิดแอปจำนวนมากและโหลดหน้าเว็บหรือเกมขนาดใหญ่ จึงจะถึงจุดที่แอปเริ่มถูกปิดจริง แต่ระบบยังทำงานได้อย่างราบรื่น ไม่มีอาการค้างหรือชะงักแต่อย่างใด
บทสรุป
ระบบจัดการ RAM บน Android ได้พัฒนาไปไกลจนแทบไม่ต้องกังวลเรื่อง RAM เต็มสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป การมี RAM ขนาดใหญ่ เช่น 12GB หรือ 16GB พร้อม zRAM และ swap เสริม ทำให้สมาร์ตโฟนสามารถจัดการแอปและงานหลายอย่างพร้อมกันได้โดยไม่กระทบความเร็ว
ฟีเจอร์อย่าง Samsung RAM Plus และ Xiaomi Memory Extension จึงเป็นเพียงการ “ปรับสมดุล” ระหว่างการสลับแอปได้เร็ว กับการเก็บแอปเบื้องหลังไว้ให้มากที่สุด โดยไม่มีคำตอบว่าตัวใดดีกว่า แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน