เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท New Computer ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Dot ได้ประกาศอย่างเป็นทางการผ่านเว็บไซต์ว่าแอปฯ Dot กำลังจะปิดตัวลงในวันที่ 5 กันยายน 2025 (ตามแหล่งข่าว TechCrunch) ซึ่งเรื่องนี้ก็สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่ติดตามหรือเคยใช้งาน Dot มาก่อน
ในบทความนี้
Dot คืออะไร? ทำไมถึงน่าเสียดาย?
Dot ไม่ใช่แค่ AI ทั่วไป แต่เป็น AI Companion (AI ที่มีบุคลิกชัดเจน เหมือนบุคคลคนนึง) ที่ถูกสร้างมาให้มีบุคลิกเฉพาะตัว เรียนรู้จากผู้ใช้งาน เพื่อเป็นเพื่อนคุย ให้คำปรึกษา และสร้างความผูกพันทางอารมณ์เสมือนคนจริงๆ แนวคิดคืออยากให้ AI เป็นมากกว่าเครื่องมือ แต่เป็น `สิ่งมีชีวิต` ที่เข้าใจเราจริงๆ ซึ่งก็เป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจและหลายคนก็ให้ความหวังกับมันมาก ๆ ครับ การปิดตัวลงของ Dot จึงไม่ใช่แค่การหายไปของแอปฯ แต่เป็นการตั้งคำถามถึงทิศทางและโมเดลธุรกิจของ AI Companion โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ AI ประเภทอื่น ๆ ที่เน้นการใช้งานจริงจังมากกว่า อย่างผู้ช่วยส่วนตัว หรือ AI สำหรับทำงาน
สัญญาณอะไรที่ Dot กำลังบอกเรา?
การที่ Dot ต้องยุติบทบาทลงนั้น ทำให้เราต้องกลับมาคิดหลายๆ เรื่องครับ
ความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจ:
การพัฒนา AI Companion ที่ซับซ้อนและต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลเพื่อดูแลความสัมพันธ์กับผู้ใช้งานแต่ละคนนั้น คุ้มค่าในระยะยาวหรือไม่? จะหารายได้จากตรงไหนเพื่อเลี้ยงดูระบบให้ไปต่อได้? นี่คือโจทย์ใหญ่ที่สตาร์ทอัพ AI หลายเจ้าต้องเผชิญ
การแข่งขันที่ดุเดือด:
ในยุคที่บริษัทยักษ์ใหญ่เทคฯ อย่าง Google, Meta, Microsoft (รวมถึง Apple, Amazon ที่กำลังพัฒนา AI ของตัวเองอย่างหนัก) กำลังทุ่มงบประมาณและทรัพยากรในการพัฒนา AI ที่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Chatbot, AI Assistants, หรือแม้แต่ AI ที่มีลักษณะคล้าย Companion การที่สตาร์ทอัพเล็กๆ จะเอาชนะในตลาดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ
ความต้องการของผู้ใช้งานจริง:
ถึงแม้เราจะพูดถึงความเหงาและต้องการเพื่อน แต่ในที่สุดแล้ว ผู้คนยังคงมองหา AI ที่มีประโยชน์ใช้สอยจริงๆ ในชีวิตประจำวันมากกว่า หรือเปล่า? การเป็นเพื่อนอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอ
เทรนด์ AI ที่เราต้องจับตา: จากเพื่อนเสมือนสู่ผู้ช่วยอัจฉริยะ
ข่าว Dot ปิดตัวนี้ อาจจะเป็นสัญญาณที่บอกเราว่าตลาด AI Companion แบบเพียวๆ กำลังเผชิญความท้าทาย แต่ไม่ได้หมายความว่า AI จะไม่โตนะครับ กลับกันเลย AI กำลังไปได้สวย แต่กำลังปรับทิศทาง
AI Companion vs. AI Assistant: เส้นแบ่งที่มองไม่เห็น?
ตอนนี้เราจะเห็นว่า AI กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่เน้นการใช้งานจริงมากขึ้น เช่น Google Gemini, ChatGPT หรือ Copilot ของ Microsoft ที่สามารถช่วยเราเขียนงาน, สรุปข้อมูล, สร้างรูปภาพ, หรือแม้แต่ช่วยวางแผนต่างๆ สิ่งเหล่านี้คือ `AI Assistant` ที่เน้นฟังก์ชันการทำงานเป็นหลัก แต่ก็เริ่มมี `บุคลิก` และความสามารถในการโต้ตอบที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ จนบางทีเราก็รู้สึกเหมือนคุยกับเพื่อนได้เหมือนกันนะ ตรงนี้เองที่เส้นแบ่งมันเริ่มจะบางลง เพราะผู้ใช้งานอาจจะอยากได้ทั้งประโยชน์ใช้สอยและความรู้สึกเหมือนมีเพื่อนไปพร้อมๆ กัน ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ก็มีทรัพยากรมากพอที่จะพัฒนา AI ให้ตอบโจทย์ทั้งสองด้านได้
ผลกระทบต่อไทย: เราพร้อมแค่ไหน?
สำหรับประเทศไทยเอง เทรนด์นี้ก็ส่งผลกระทบโดยตรงแน่นอนครับ
* **สตาร์ทอัพไทย:** การปิดตัวของ Dot อาจเป็นบทเรียนสำคัญให้สตาร์ทอัพไทยที่กำลังพัฒนา AI ได้ทบทวนโมเดลธุรกิจและความต้องการของตลาดว่า เราจะสร้าง AI ที่ตอบโจทย์คนไทยได้อย่างไร และจะอยู่รอดในการแข่งขันกับเจ้าใหญ่ได้อย่างไร
* **การปรับตัวของภาคธุรกิจ:** ภาคธุรกิจไทยก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเข้ามาของ AI ที่จะเปลี่ยนวิถีการทำงานและบริการลูกค้า การนำ AI มาใช้ในองค์กรไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเรียนรู้และปรับตัว
บทเรียนจาก Dot และอนาคตของ AI
การปิดตัวของ Dot ไม่ใช่จุดจบของ AI Companion แต่เป็นเพียงหนึ่งในบทเรียนสำคัญในเส้นทางการพัฒนา AI ครับ มันแสดงให้เห็นว่าการสร้าง AI ที่จะอยู่รอดในตลาดได้นั้น นอกจากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแล้ว ยังต้องมีโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง และต้องเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริงด้วย อนาคตของ AI นั้นยังอีกยาวไกลและน่าตื่นเต้น เราอาจจะได้เห็น AI ที่ฉลาดขึ้น มีประโยชน์มากขึ้น และอาจจะยังคงมี `เพื่อน AI` ที่ดีกว่าเดิมผุดขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ละครับ!
ที่มา: TechCrunch