วันอังคาร, เมษายน 30
Advertisement

เปิดตัวมาอย่างเป็นทางการแล้วครับ สำหรับ Samsung Galaxy S9 และ S9+ สองรุ่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ใหญ่ ที่มาในปีนี้มีการเปลี่ยนแบบกล้าปรับเพื่อการพัฒนาครับ โดยเฉพาะในเรื่องของความชัดเจนของรุ่น และความชัดเจนของกล้อง ^^

ก็นับเป็นครั้งแรกครับของ Samsung ที่แยกความแตกต่างของคู่แฝดเรือธงของตัวเองออกจากกันค่อนข้างชัดเจน ต่อไปนี้ Galaxy S9 และ S9+ จะไม่ใช่แค่แตกต่างในเรื่องของขนาดหน้าจออีกต่อไปครับ

Advertisement

การออกแบบตัวเครื่องภายนอกของทั้งคู่ ก็ยังคงสไตล์ Infinity Display หรือหน้าจอไร้ขอบ ที่ต้องบอกว่าหน้าจอไร้ขอบของ Samsung คือไร้ขอบจริงๆ เพราะว่ามันไม่ใช่แค่ไร้ขอบด้วยรูปทรงหลอกตา แต่ขอบจอข้างเครื่องของ S9/S9+ ยังโค้งลงกินพื้นที่ส่วนขอบเครื่องไปมากกว่าปกติอีกเล็กน้อยด้วยครับ นี่คือเอกลักษณ์เครื่องไร้ขอบของทาง Samsung โดยเฉพาะ

วัสดุด้านหน้าเครื่องส่วนใหญ่เป็นกระจก เพราะหน้าจอแสดงผลขนาด 5.8 นิ้ว และ 6.2 นิ้วของ S9/S9+ กินพื้นที่ด้านหน้าเครื่องไปมากกว่า 80% เหลือพื้นที่ไว้บนและล่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีการเคลือบผิวให้ตัวเครื่องและหน้าจอกลืนเป็นเนื้อเดียวกันแยกแทบไม่ออก ฝังปุ่มโฮมที่รองรับแรงกดได้หลายระดับใต้หน้าจอกระจก Corning Gorilla Glass 5 ความละเอียดของจอแสดงผลก็ยังใช้ความคมชัดระดับ Quad HD+ มาให้เช่นเดิมทั้งสองรุ่น

โดยรวมจะคล้ายการออกแบบของ Galaxy S8 และ A8 ครับ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในการออกแบบของ S9 ก็คือด้านหลังครับ และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างสำคัญของรุ่น นั้นก็คือการเปลี่ยนไปใช้กล้องโมดูลใหม่ ที่ได้ถูกพัฒนาให้มีความประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้กล้องถ่ายภาพที่เป็นเซ็นเซอร์เดี่ยวหรือเลนส์เดียวนั้นเองครับ แต่เป็นเลนส์เดี่ยวที่มาพร้อมรูรับแสงสองขนาดใน นั้นคือ f1.5 และ f2.4 ก็ถือว่าพัฒนามาทั้งความแปลกใหม่ และรูรับแสงขนาดที่กว้างมากๆ บนความละเอียดกล้องที่ 12 ล้านพิกเซล

และความแตกต่างที่มากขึ้นไปอีกสำหรับ Galaxy S9+ เพราะนอกจากกล้องหลักของมันที่มีรูรับแสงสองขนาดในเลนส์เดียวแล้ว มันยังมาพร้อมกับกล้องคู่ตัวที่สองอีกด้วย อันนี้คือความแตกต่างแรกของเครื่องทั้งสองรุ่นครับ

เมื่อกล้องมีการเปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้การออกแบบด้านหลังของ Samsung ทำได้สมดุลมากขึ้นครับ ที่สแกนลายนิ้วมือย้ายมาอยู่ตรงกลาง เอื้อมนิ้วสแกนง่ายกว่าเดิม

และ Samsung Galaxy S9 และ S9+ ยังมาพร้อมกับลำโพงคู่แบบสเตอริโอ หนึ่งตัวอยู่ใต้เครื่อง อีกหนึ่งตัวอยู่ที่ลำโพงสนทนาด้านหน้า ปรับแต่งเสียงมาโดย AKG เช่นเดียวกับหูฟังที่แถมมาให้ในกล่อง รองรับระบบ Dolby Atmos สำหรับการรับชมภาพยนตร์ได้มีอรรถรสมากขึ้น

งานประกอบเครื่องภายใต้มาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68 เนื้อวัสดุยังคงให้ความรู้สึกหรูจากความมันเงาแต่ก็จะเป็นรอยนิ้วมือง่ายเช่นเดิม ^^  มีสีใหม่ Lilac Purple ดูน่าสนใจและโดดเด่นที่สุดครับ อมแดง อมชมพู อมทองนิดๆ สวยดีครับ ซึ่งในวันจับเครื่อง AppDIsqus ได้สัมผัสทั้งหมดสามสีครับ ขอยกให้สี Lilac Purple ดูมีสเน่ห์ที่สุด ^^

ตัวเครื่องรองรับสองซิมการ์ดแบบไฮปริด ซิมที่สองสามารถเปลี่ยนใส่ Micro SD card ได้ 400GB ตัวเครื่อง S9   จะมีแรมมาให้ 4GB   และหน่วยความจำ 64GB ซึ่งมีขนาดความจำเพียงขนาดเดียวครับสำหรับ S9

แต่สำหรับ S9+ จะมีแรมมาให้ 6GB  และหน่วยความจำให้เลือกตั้งแต่ 64GB, 128GB และ 256GB ซึ่งเมืองไทยจะนำเข้ามาขายในทุกรุ่นเลยครับ

ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับปุ่ม Bixby  ผู้ช่วยอัจฉริยะที่มีความสามารถมากขึ้นเช่นการแปลภาษาแบบไลฟ์ไทม์ผ่านตัวอักษรที่ถ่ายจากหน้ากล้อง รวมถึงการอ่านและแสดงผล AR ได้ในตัวเอง

แบตเตอรี่ 3,000 mAh และ 3,500 mAh ตามลำดับครับ รองรับ Fast Charge และชาร์จไร้สาย Wireless Charging ซึ่งเราได้ยินข่าวเรื่องของอุปกรณ์ตัวใหม่ที่น่าสนใจ นั้นก็คือตัวแท่นชาร์จไร้สายที่มีการการันตีว่า ราคาจำหน่ายจะถูกลงกว่ารุ่นเดิมๆ อย่างแน่นอนครับ ^^

ยังมีอุปกรณ์เสริมอีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจ นั้นก็คือ Dex Pad ตัวเปลี่ยน S9 ให้กลายเป็น PC พกพา เพิ่มความสามารถให้ตัวเครื่อง S9 กลายเป็นเมาท์ไปด้วยในตัว

อุปกรณ์ภายในกล่อง 

  • เคสใส
  • USB OTG
  • ตัวแปลงพอร์ต USB Type-C ให้เป็น Micro USB
  • สายดาต้า
  • ตัวชาร์จ Fast Charge
  • หูฟังที่ได้รับการปรับแต่งจาก AKG

การใช้งานภายใน

ทดสอบประสิทธิภาพการทำงานเบื้องต้น ก็แน่นอนว่าลื่นครับ ตอบสนองไว UI ใช้งานง่าย เพราะหลังๆ ทาง Samsung ออกแบบมาให้เรียบๆ เกลี้ยงๆ กว่าเดิมเยอะเลย

ทั้งคู่ใช้หน่วยประมวลผลตัวใหม่ Exynos 9810 64 bit ผลิตภายใต้เทคโนโลยี 10 นาโนแล้วนะครับ ^^ ในด้านฟังก์ชั่นการใช้งานก็แน่นอนว่า S9 และ S9+ จะรองรับทุกอย่างที่ Samsung อยู่แน่นอน รวมถึงฟังก์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจ เช่นการสแกนอัจฉริยะ ที่ผนวกรวมการสแกนม่านตาและสแกนใบหน้ามารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้เราได้ทั้งความปลอดภัยและสะดวกรวดเร็วไปพร้อมๆ กัน

ซึ่งตัวเครื่องจะตัดสินใจให้เองว่าในสถานะการณ์ใดที่จะ ต้องการเน้นความปลอดภัยหรือจะให้น้ำหนักด้านความรวดเร็วมากกว่ากัน หรือจะใช้มันทั้งสองอย่างเพื่อความปลอดภัยระดับสูง เช่นการจ่ายเงินผ่านระบบ Samsung Pay เป็นต้น

รองรับมัลติวินโดว์ที่มีฟีเจอร์ App Pair ฟีเจอร์เด็ดที่เคยอยู่ใน Galaxy Note 8 มาก่อนนั้นเอง เป็นการเรียกใช้แอพคู่โดยการคลิ๊กเพียงครั้งเดียว เราสามารถเซ็ตค่าแอพคู่ที่เราต้องการไว้ได้ เช่นแอพ Youtube พร้อมกับ Facebook เป็นต้นครับ กดทีเดียวเปิดสองแอพ แยกแสดงบนล่างหน้าจอพร้อมใช้

ทีเด็ดใหม่ ก็คงเป็นเรื่องของกล้องถ่ายภาพ ที่ S9 และ S9+ กล้องหน้า 8 ล้าน กล้องหลัง 12 ล้าน Super Speed Dual Pixel มาพร้อมสามฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ นั้นคือ

  • Super Slow-mo
  • AR Emoji
  • Super Low & Bright Light

ในโหมด Slow-Mo เราจะสามารถถ่ายวีดีโอซูปเปอร์สโลในระดับ 960 เฟรมต่อวินาที เปลี่ยนความเร็ว 0.2 วินาทีในโลกจริง ให้กลายเป็น 6 วินาทีในโลกวีดีโอบนระดับความละเอียด HD

ซึ่งในหนึ่งคลิปเราจะใส่ช่วงสโลว์ได้มากถึง 20 ครั้งเลยครับ แถมยังมีโหมดฉลาดๆ ที่เข้ามาช่วยให้เราสามารถบันทึกภาพที่ตั้งใจไว้ไม่ให้พลาดง่ายๆ ด้วยระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบออโต้ เราจะสามารถกำหนดพื้นที่บนหน้ากล้อง ให้ทำการถ่ายสโลว์ทันทีเมื่อมีวัตถุเคลื่อนผ่าน เช่นเปิดออโต้ไว้เพื่อจับการบินของนกที่กำลังบินผ่านมาเป็นต้นครับ เมื่อนกผ่านพื้นที่ที่เรากำหนดไว้ ตัวกล้องก็จะทำการถ่ายเป็นสโลว์ให้เราทันที

เราสามารถสร้างภาพสโลว์แบบแมนนวลด้วยตัวเองได้เช่นกัน สามารถตัดหั่นคลิปออกมาเป็นไฟล์ Gif หรือคลิปสั้นแล้วส่งหาเพื่อน มีลูกเล่นประกอบความสนุกมากมายเช่นทำภาพสโลว์แบบย้อนหลัง ภาพสโลว์แบบสวิงวนไปมา พร้อมสามารถใส่เพลงประกอบและหั่นหัวท้ายของคลิปทิ้งไดได้ด้วยในแอพตัวเครื่องเองเลยครับ

สำหรับโหมด AR Emoji ก็คือการทำภาพ 3D AR ที่เป็นอวตาร จำลองการเคลื่อนไหวศีรษะและหน้าตาของผู้ถูกถ่ายให้กลายเป็นตัวการ์ตูน หรือสวมใส่เครื่องประดับ โดยรองรับทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังเลยครับ

และยังมีความสามารถในการสร้าง Emoji ของเราได้เองจากภาพบุคคล โดยจะจำลองออกมาเป็น Emoji เคลื่อนไหว และแปลงเป็นสติกเกอร์ได้ถึง 18 แอคชั่น (ในอนาคตจะเพิ่มเป็นมากกว่า 50 แอคชั่นจากการอัพเดท) เราสามารถใช้วีดีโอบันทึกไว้หรือส่งตัว Emoji ที่ทำออกมาหากันเป็น Gif เคลื่อนไหวได้ทั้งใน Facebook หรือ Whatsapp เป็นต้นครับ

โหมด Super Low & Bright Light  ก็คือวิธีการเก็บภาพในที่แสงน้อยให้ดียิ่งขึ้น ด้วยเทคนิคและเทคโนโลยี โดยตัวกล้องจะบันทึกภาพอัตโนมัติไว้ทันทีสามชุด ชุดละสี่ภาพรวมเป็น 12 ภาพ แล้วรวม 12 ภาพให้กลายเป็นสามภาพด้วยตัวเซนเซอร์ ก่อนจะส่งไปให้ตัวประมวลผลรวมเป็นภาพเดียวที่มีรายละเอียดครบที่สุดครับ

ในขั้นตอนการอธิบายอาจจะฟังยืดยาว แต่ในความเป็นจริงนั้นมันทำงานทั้งกระบวนการเพียงเสี้ยวพริบตาเดียว การจับโฟกัสของ S9 และ S9+ จะไวมากครับ เก็บภาพจัดแสงให้สีได้ดี ถือว่าอยู่ในระดับสูงอีกเช่นเคย

ตัวอย่างภาพถ่ายในอาคารบางส่วน

แต่ความหนักใจน่าจะตกอยู่กับคนซื้อครับ เพราะงานนี้ในเรื่องของกล้อง S9 และ S9+ จะมีความแตกต่างที่สำคัญในด้านฟังก์ชั่นการใช้งานมาเป็นตัวเลือกด้วย

เนื่องจากตัว S9+  จะมาพร้อมกับกล้องคู่ด้านหลัง ดังนั้นมันจึงมีฟังก์ชั่นการถ่ายภาพในโหมด Live Focus (โหมดเลือกจุดโฟกัสและ หน้าชัด หลังเบลอได้) และ Dual Capture (ถ่ายหนึ่งครั้ง ได้ภาพสองระยะ) แบบเครื่อง Galaxy Note 8 มาให้ใช้งานด้วย ในสองโหมดนี้จะไม่มีใน Galaxy S9 ครับ เพราะเป็นเครื่องที่มีกล้องถ่ายภาพตัวเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังทำภาพแบบหน้าชัดหลังละลายได้ จากโหมด ‘โฟกัสที่เลือก’ ซึ่งเหมือนฟังก์ชั่นที่เคยอยู่ในเครื่อง Galaxy S8 นั้นเองครับ

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Selective Focus (โฟกัสที่เลือกของ S9) ก็ถือว่าละลายหลังได้พองาม เสริมความเด่นให้กับบุคคลในภาพได้เช่นกันครับ

อีกความพิเศษของกล้อง S9 และ S9+ ก็คือเป็นกล้องมือถือที่สามารถปรับรูรับแสงได้แบบฮาร์ดแวร์ครับ เพราะทั้งคู่ใช้กล้องที่มีรูรับแสงคู่ f1.5 และ f2.4 ในโหมดโปรครับ เราจะสามารถปรับได้ทั้งหมด ทั้งสปีดชัตเตอร์ ISO โฟกัส WB EV และคราวนี้รวมถึงรูรับแสง ปรับได้ระหว่าง f1.5 และ 2.4 ครับ ตัวกล้องจะมีใส่กันสั่น OIS มาให้ทั้งสองรุ่นเลยนะครับ

 

สรุปความแตกต่างหลักของเครื่องทั้งสองรุ่น ก็คือเรื่องของ

  • หน้าจอ (5.8 นิ้ว กับ 6.2 นิ้ว)
  • ขนาดแรม (4GB และ 6GB)
  • ขนาดแบตเตอรี๋ (3,000 mAh และ 3,500 mAh)
  • กล้องถ่ายภาพด้านหลัง (กล้องเดี่ยว และ กล้องคู่)
  • ราคาจำหน่าย ^^ แน่นอนว่า S9 ถูกกว่าแน่นอน จะเริ่มปล่อยออกมาในช่วงกลางเดือนมีนาคมครับ  ส่วนราคาไทยก็ดูได้จากหน้ารายละเอียดราคาและวันสั่งจองที่ลิงก์นี้นะครับ <<<

รีวิวภาคจบ สรุปทดสอบใช้งานสองอาทิตย์เต็ม <<<

 



//To track Impressions use the following URL:






แชร์
Avatar photo

ในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจ มันก็ยังมีระดับความลึกของความเข้าใจที่แตกต่างกัน ลึกบ้าง บางบ้าง แต่ประโยชน์ในการส่งผ่านสิ่งที่รู้ออกไปให้กับผู้อื่นนั้นไม่ต่างกัน มีประถม มีมัธยม มีอุดมศึกษา ไม่มีใครเริ่มต้นเรียนรู้จากในระดับปริญญา ฉะนั้นจะมากจะน้อยเชื่อเถอะว่า ความรู้ของทุกคนมีประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้ เท่าๆ กัน

Advertisement
Exit mobile version