Advertisement

เรือธงที่แท้จริงของสมาร์ทโฟน Android มาแล้ว Samsung Galaxy Note 9 ซี่รีย์ที่เปิดตัวท้าชนกับสมาร์ทโฟนรุ่นแรงในช่วงท้ายปีมานักต่อนัก ต่อเนื่องกันมานานหลายปี และยังคงเป็นที่นิยม และถ้าลองมองไปรอบๆ เราก็จะเห็นว่ามีเพียงไม่กี่ซีรีย์เท่านั้นในปัจจุบัน ที่ยังยืนหยัดยาวนานมาได้เหมือน Galaxy Note ครับ ส่วนใหญ่ไม่เพิ่งมา ก็เปลี่ยนชื่อซี่รีย์เริ่มใหม่ หรือไม่ก็เปลี่ยนแนวทางไปกันหมดแล้ว

ด้วยแนวคิดเริ่มต้นของ Samsung ในการออกแบบ Note ออกมานั้นดีมากครับ จากความต้องการที่จะให้สมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่อง ทดแทนการใช้งานให้กับผู้ใช้ได้มากกว่าการใช้งานแบบทั่วไป โดยเฉพาะนักครีเอเตอร์ Galaxy Note คือเครื่องมือดักเก็บความคิดที่สะดวกและใกล้ตัวเราได้มากที่สุดเลยครับ

Advertisement

Galaxy Note จะเป็นซีรีย์ที่ทาง Samsung มักจะใส่สิ่งที่ดี่ที่สุดในมือของเขาเข้ามาให้ในเครื่องครับ เครื่องรุ่นใหญ่จากแบรนด์ใหญ่ ผมจึงยกให้มันเป็นรุ่นพี่ตัวจริงเสียงจริงของเครื่องระบบ Android

ด้วยความที่มันเป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมฟังก์ชั่นปากกาที่ดีที่สุด ความสามารถรอบตัวของมันจึงครอบคลุมและมีอรรถประโยชน์สูงที่สุด และยังไม่มีตัวเลือกอื่นในตลาดนี้ทำออกมาไ้ด้ดีเท่าครับ

แรกสัมผัสเครื่องภายนอก ต้องบอกว่า Galaxy Note 9 ไม่มีอะไรต่างมากไปจาก Note 8 สักเท่าไหร่ครับ โดยเฉพาะด้านหน้าจะแยกกันยากมากถ้ามองผ่านๆ หน้าจอต่างกันเพียงแค่ 6.3 และขยายเป็น 6.4 ใน Note 9 แทบจะไม่รู้สึก แต่ยังไงเมื่อเทียบกันแล้ว ขอบจอของ Note 9 ก็บางมากครับ จากเดิมบางอยู่แล้ว รุ่นนี้บางลงอีก หน้าจอใหญ่ขึ้นเครื่องเท่าเดิม

ความคมชัดของจอสูงมาก QuadHD เป็นเครื่องเรือธงไม่กี่เครื่องที่ให้ความละเอียดมาสูงกว่า FullHD+ แบบนี้ และมีสีสันสวยมาก โดย Galaxy Note 9 ได้รางวัลจากต่างประเทศ ยกให้เป็นสมาร์ทโฟนที่หน้าจอดีที่สุดในโลกไปแล้ว ซึ่งจากการทดสอบใช้งานก็เป็นแบบนั้นครับ หน้าจอ Note 9 เล่นเกม ดูหนัง สีสันดุ แสงชัด สะใจลูกตามาก ^^

แน่นอนว่ามีฟังก์ชั่นในด้านการถนอมสายตามาให้ด้วย เช่นการปรับโทนสีหน้าจอ และโหมดการใช้งานกลางคืน เปิดปิดเลือกตามแต่สถานการณ์และตามใจคนใช้ได้เลย

Galaxy Note 9 มาพร้อมระบบเสียงลำโพงคู่ เสียงกว้างมากครับ โดยจะใช้ลำโพงหลักด้านใต้เครื่อง ทำงานร่วมกันกับอีกหนึ่งลำโพงที่ฝังอยู่ในช่องลำโพงสนทนา

รองรับสองซิมการ์ดแบบ Dual 4G นั้นหมายถึงมันสามารถเชื่อมต่อ 4G ได้พร้อมกันสองซิม และยังรองรับระบบเครือข่าย 5CA 4×4 MIMO Cat18 เร็วสูงสุด 1.2GHz ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำยุคกว่าสัญญาณในบ้านเราไปสองก้าวกระโดด (บ้านเราใช้เทคโนโลยีสูงสุดที่ 3CA)

และยังเป็นเครื่องที่รองรับเทคโนโลยี AIS Next G แบบฝังมาในตัวระบบเลย ฉะนั้นในด้านการเชื่อมต่อสัญญาณไร้สาย ระดับท็อปตัวจริงของจริง งานประกอบดีเช่นเดิม มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกล้องและที่สแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลัง ซึ่งจะแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ของ Samsung ค่อนข้างชัดใน Note 9

ภายนอกตัวเครื่องไม่ใหญ่ แต่แบตข้างในใหญ่ขึ้นได้เยอะมาก ตอนนี้ Note 9 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh แล้วครับ รองรับระบบการชาร์จไวทั้งเสียบสายและไร้สาย ชาร์จไวทั้งสองระบบ น่าเสียดายที่ผมหวัง Samsung น่าจะปล่อยระบบชาร์จไวเวอร์ชั่นใหม่ออกมาพร้อมกันด้วย เพราะระบบชาร์จไวตัวนี้ยังเป็นมาตรฐานระดับประมาณ QC 2.0 เท่านั้นครับ

ทั้งหมดผลิตภายใต้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP 68 เช่นเดิม กันน้ำได้ยันตัวปากกา จะเอาไปใช้ใต้น้ำกันทั้งคู่ก็ยังไหว แต่ไม่แนะนำ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าซีลกันน้ำมันเสื่อมไปมากแค่ไหน ฉะนั้นให้มันกันไว้เพื่อความอุ่นใจก็พอครับ

อุปกรณ์ภายในกล่อง มีมาให้ทั้งเคสใส ที่ชาร์จ ตัวแปลงพอร์ต USB Type C OTG และหูฟังที่จูนมาให้จากแบรนด์ AKG หูฟังตัวนี้เสียงใช้ได้ครับ ไม่ต้องไปซื้อหูใหม่สำหรับใครที่ไม่เน้นอารมณ์ด้านการฟังเพลงมากนัก รวมถึงหัวปากกา S-Pen สำรองพร้อมคีมหนีบ อุปกรณ์ในกล่องเยอะครับ สมความ Hi-End

การใช้งานภายใน

มีอะไรที่ดี Samsung ยกมาหมด ไม่ว่าจะเป็น Exynos 9810 หน่วยประมวผลที่ผลิตภายใต้มาตรฐาน 10 นาโน หน่วยความจำภายในยอกระดับมาใช้กันที่ 128GB และ 512GB หน่วยความจำในเครื่องให้มาใหญ่มากกก แถมยังรองรับหน่วยความจำภายนอก Micro SD card ได้สูงสุด 2TB แต่เขาโฆษณาแค่ใส่ Micro SD card 512 GB เพราะมันมีขายอยู่ในตลาดทั่วๆ ไปอยู่แค่นั้น แล้วก็แพงมาก ฉะนั้นแนะนำว่าเลือกตัวที่มีหน่วยความจำตามทีทเราต้องการแต่แรกดีกว่า โดยรวมแล้วสะดวกกว่าและถูกกว่าครับ

เพราะว่าเครื่อง Galaxy Note 9 ที่มีหน่วยความจำ 512GB จะมาพร้อมกับแรมขนาด 8GB อีกด้วย ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรก ตัวแรกของ Samsung เลย ที่ใส่แรมเข้ามาให้ใช้เยอะขนาดนี้

ฟังก์ชั่นและบริการทั้งหมดทั้งมวลของ Samsung ยัดเข้ามาให้อยู่ในเครื่องครับ ฉะนั้นคนใช้ไม่มีเบื่อง่ายๆ แน่นอน ใครเคยใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหญ่ของ Samsung มาก่อนจะเข้าใจ เรียนรู้กันข้ามปีบางคนก็ยังรู้ไม่หมด ใช้ไม่ครบทุกอย่าง

โดยเฉพาะด้าน “บริการ” ผมมองเห็นจริงๆ ก็แค่แบรนด์เดียวในตลาดตอนนี้ครับ ที่มีบริการสำหรับให้ผู้ใช้ของเขาเยอะมาก และทำกันจริงจัง เช่น Galaxy Butler บริการดูแลหลังการขายระดับพรีเมี่ยมที่เขาเตรียมไว้ให้ลูกค้าเครื่องระดับพรีเมี่ยมของเขาเช่นกัน

 

เช่น Samsung Pay, Galaxy Gift สองบริการเด่นในปัจจุบันของ Samsung ที่ยังไงคนไทยก็ต้องพูดถึง เพราะใช้งานกันได้คุ้มเละเทะเลยครับ มูลค่าต่อปีที่เราได้รับ ผมว่าเกินหมื่นสบายๆ แจกโน้น ลดนี่ ป้ายแจ้งสิทธิ์ตั้งอยู่หน้าร้านเต็มบ้านเต็มเมือง

รวมถึง Galaxy Apps แหล่งรวมแอพและเกมเฉพาะของทาง Samsung ที่ตอนนี้มีเกม FortNite มาให้เล่นกันแล้วด้วยนะครับ ^^

จนตอนนี้ผมกลายเป็นคนลำบากใจมากเวลาจะซื้อของแล้วลืมเอาเครื่อง Galaxy ติดตัวมา – – ยิ่งเห็นป้ายแล้ว ทำใจลำบากจริงๆ เสพติดไปแล้วกับ Samsung Pay & Gift (ฝากถึง Samsung ถ้าเข้ามาอ่าน รวมแอพเลยได้มั้ย ^^ ได้ดูสิทธิ์และรูดบัตรทีเดียว)

ความสามารถในด้านการใช้งานเพื่ออำนวยความสะดวกระหว่างวันก็ยังคงมีเยอะมากครับ โดยเฉพาะเมื่อเนาพูดถึงรุ่น Galaxy Note มันไม่เคยน้อย!

ระบบแอพคู่ ทำงานสองแอพได้พร้อมกัน รุ่นอื่นๆ อาจจะมี แต่เครื่องของ Samsung นี้เรียกใช้แอพได้สองแอพในคลิ๊กเดียวกันได้เลย โดยเรากำหนดคู่แอพที่ต้องการไว้ก่อนได้ครับ เวลาจะเรียกใช้ก็กดครั้งเดียว

หน้าจอเรียกใช้งานจากขอบจอซึ่งเป็นหน้าพิเศษ เอาไว้วางรายชื่อติดต่อ ไอคอนแอพ หรืออื่นๆ มากมายที่เลือกเอามาวางไว้ได้อีกเพียบ เยอะมากในระดับที่เจ้าหน้าจอขอบตัวนี้มีสโตร์สำหรับติดตั้งแอพของมันโดยเฉพาะ

ต้องบอกว่าระบบมัลติวินโดวเรียกใช้แอพสองแอพบนหน้าจอพร้อมกัน และการเรียกใช้งานสิ่งต่างๆ ได้จากหน้าจอขอบ เป็นฟังก์ชั่นที่เครื่อง Galaxy Note Series ผลักดันให้เกิดความนิยมในเครื่องจอใหญ่อีกหลายๆ รุ่นเลยครับ มันเป็นฟังก์ชั่นที่เหมาะกับหน้าจอใหญ่ๆ นั้นเอง

ระบบด้านความปลอดภัย Samsung Knox ของดีที่คนอาจจะไม่สังเกตเห็น เพราะมันเป็นระบบที่ซ่อนอยู่ภายใน เป็นเบื้องหลังด้านความปลอดภัยซึ่งคอยทำงานปกป้องให้คนใช้เครื่อง Samsung อยู่หลายอย่างแบบที่อาจจะไม่รู้กันครับ

Samsung Knox เป็นระดับชั้นความปลอดภัยในระดับฮาร์ดแวร์ เจาะระบบยากและยังไม่เคยมีใครเจาะได้ โดยมันจะคอยทำงานในด้านความปลอดภัยของเครื่องเช่นระบบ Samsung Pass ที่เราสามารถใช้รหัสชีวภาพของเราทดแทนการใส่รหัสผ่าน

ระบบ “โฟลเดอร์ปลอดภัย” พื้นที่พิเศษที่เราเอาไว้ใช้ต่างหาก แยกออกจากพื้นที่ของตัวระบบแบบปกติ แยกบัญชี แยกรหัสผ่าน มีประโยชน์มากที่จะเอาไว้ใช้ในการทำงานที่ต้องการความปลอดภัยและการเป็นส่วนตัวมากกว่าปกติ และเป็นที่ผมจะแนะนำสำหรับการติดตั้งแอพธุรกรรมทางการเงินให้ทุกคนด้วยครับ

ระบบรักษาความปลอดภัยของ Galaxy Note 9 ต่อยอดยังคงใช้ที่สแกนลายนิ้วมือ หรือ สแกนม่านตา สำหรับงานความปลอดภัยระดับสูงเช่นการจ่ายเงิน และใช้ระบบสแกนใบหน้าในงานความปลอดภัยระดับต่ำเท่านั้น เช่นการปลดล็อกเข้าใช้งานเครื่อง ซึ่งเราสามารถใช้งานร่วมกันพร้อมกันทั้งสามระบบครับ โดยตัวเครื่องจะพิจารณาเลือกการใช้งานให้เราเองตามความเหมาะสม ว่าตอนไหนจะเน้นไว หรือตอนไหนเน้นความปลอดภัย เราแค่เอาหน้าเราไปมองจอไว้ประมาณเสี้ยววิเท่านั้นก็พอ

มาพร้อมโหมดสำหรับคนทำงาน Dex Mode เมื่อเชื่อมต่อกับ DexPad หรือสาย USB-C ที่ต่อออกจอภาพได้ ตัวเครื่อง Note 9 ก็พร้อมแปลงสภาพตัวเองให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวทันทีครับ โดยเราสามารถใช้หน้าจอของเครื่อง Note ให้กลายเป็นเมาท์แพด หรือคีย์บอร์ดได้ รวมถึงใช้ปากกา S-Pen เป็นเมาท์ชี้เป้าได้เช่นกัน

โหมดการแสดงผลจะถูกปรับให้เข้ากับหน้าจอขนาดใหญ่ สามารถเชื่อมต่อเมาท์หรือคีย์บอร์ดผ่านสัญญาณบลูทูธใช้งานได้เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเลย

ที่พิเศษคือ Note 9 ทำงานแบบมัลติฟังก์ชั่นในขณะต่อ Dex Mode ด้วยครับ ตัวเครื่อง Note 9 ไม่จำเป็นต้องสแตนด์บายบนหน้าแอพที่เปิดทำงานบนหน้าจอใหญ่ เราสามาถใช้ Note 9 ได้สนงานอื่นๆ ไปได้พร้อมกัน

เราจึงดูหนังบนจอใหญ่ที่เชื่อมต่อไว้ และเล่นเกมบนเครื่อง Note 9 ไปด้วยได้พร้อมๆ กันเป็นต้น ^^ ประสิทธิภาพเหลือล้นจริงๆ

ที่รีวิวมาผมยังไม่ได้เข้าเรื่องของ S-Pen ซึ่งเป็นตัวเด่นของ Note 9 เลยนะครับ และในครั้งนี้ S-Pen จะมีบทบาทกับผู้ใช้มากกว่าเดิม เพราะว่ามีการเพิ่มฟังก์ชั่น “บลูทูธ” เข้ามาไว้ในตัวปากกาด้วย โดยฟังก์ชั่นเดิมยังคงอยู่ เพิ่มลูกเล่นเข้ามาหลายอย่าง เช่นลายเส้นการเขียนบนหน้าจอขณะจอปิด Screen Off Memo จะเป็นสีตามด้วมปากกาที่ได้มาเป็นต้นครับ ปากกาสีเหลือง ก็เขียนเป็นเส้นสีเหลืองเช่นกัน

ตัวสัญญาณบลูทูธที่ตัว S-pen ใช้อยู่นั้น ไม่ใช่สัญญาณแบบที่ตัวเครื่องปล่อยออกมาเพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกอย่างเช่นหูฟังหรือลำโพง เมาท์ หรือแม้แต่ตัวชัตเตอร์กล้องที่ขายกันตามท้องตลาดปกตินะครับ มันเป็นอีกเทคโนโลยีแยกต่างหากที่ชื่อว่า “บลูทูธพลังงานต่ำ หรือ BLE (Bluetooth low energy) ” ซึ่งมีจุดเด่นตามชื่อของมัน นั้นคือการใช้พลังงานในการเชื่อมต่อต่ำมากๆ ใช้แบตก้อนเล็กมากๆ และที่สำคัญ ไม่คิดเป็นโควต้าอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อบลูทูธตามปกติอีกด้วย

ฉะนั้นแล้วในตัว S-Pen จึงแทบจะไม่ต้องห่วงเรื่องขนาดของแบตเลยครับ เพราะจริงๆ แล้ว ภายในมันใช้ Super Capacity เป็นตัวเก็บพลังงานไว้เท่านั้นเองครับ แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วต่อการใช้งานได้นานต่อเนื่องถึง 30 นาที คลิ๊กใช้งานได้กว่า 200 ครั้ง ต่อการชาร์จเต็ม 100% โดยใช้เวลาในการชาร์จแต่ละครั้ง แค่เพียง 40 วินาทีเท่านั้น เร็วพอๆ กับการดื่มน้ำหนึ่งแก้วแบตก็เต็มแล้วครับ

ตัว S-Pen ใหม่ บน Galaxy Note 9 ทาง Samsung ไม่ใช่พัฒนามาแค่ตัวปากกานะครับ แต่มาพร้อมกับแอพพลิเคชั่นควบคุบการสั่งงานตัวใหม่ ที่ชื่อว่า  “รีโมท S Pen” ซึ่งเจ้าฟังก์ชั่นนี้ เปิดปิดได้ผ่าน Toggle ในหน้า Notify page ครับ

ภายใน จะมีให้เรากำหนดค่าการใช้งานต่างๆ ในส่วนของระบบบลูทูธ S-Pen เอาไว้ครับ  โดยพื้นฐานเรา สามารถกำหนดการเปิดปิด มีการบอกระดับพลังงานของตัวปากกา

ปุ่มบนตัวปากกาถึงแม้จะมีปุ่มเพียงปุ่มเดียว แต่รับคำสั่งได้ในสามรูปแบบ นั้นคือการกดหนึ่งครั้ง, กดสองครั้ง และการการกดปุ่มค้างไว้ ครับ เราสามารถกำหนดการเรียกใช้งานแอพที่ต้องการได้ด้วยการคลิ๊กค้างบนตัวปากกาไว้ได้ เช่นคลิ๊กค้างเพื่อเปิดกล้อง หรือเปิดแอพบันทึกเสียงเป็นต้นครับ เราสามารถเรียกแอพขึ้นมาทำงานผ่านปุ่มบน S-Pen ได้โดยไม่ต้องกดปลุกเครื่องขึ้นมาก่อนครับ

ระยะในการสั่งงานไกลประมาณ 10 เมตรตามเทคโนโลยีของมัน มีฟังก์ชั่นสำหรับการใช้ปากกาเพื่อปลดล็อคเครื่องได้ ซึ่งไม่ปลอดภัยแต่สะดวกในการใช้งานสำหรับใครที่ต้องการครับ

เป็นการเพิ่มความสามารถแบบง่ายๆ แต่มีประโยชน์มากขึ้นสำหรับเจ้าตัว S-Pen เพราะว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ติดอยู่กับตัวเครื่องของเราอยู่แล้ว ทำให้นำมาประยุกต์ใช้งานในส่วนอื่นๆ ได้มากกว่าการวาดและการเขียนตามปกติที่มันทำได้ดีมาโดยตลอดอยู่แล้วครับ ^^

ผลทดสอบต่างๆ

เล่นเกมระดับกราฟิกสูงสบายๆ ลื่นไหลระดับท็อปคลาส หน้าจอคมชัดมากครับ ใหญ่เต็มตาไม่มีรอยบากบังขอบจอ ลำโพงเสียงดังเป็นสเตอริโอทิศทางเสียงกว้าง รองรับระบบ Dolby Atmos เมื่อเชื่อมต่อกับแหล่งเสียงภายนอก

แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้เต็มวันในการใช้งานทั่วๆ ไป หรือเปิดจอไว้ เล่นเกม วาดรูป ต่อเนื่องกันได้ประมาณเจ็ดชั่วโมงครับในระดับความสว่างหน้าจอ 45% ถือว่าแบตอึดนะครับ น่าจะเพราะด้วยแบตใหญ่ + ซอฟท์แวร์รุ่นใหม่ๆ ที่ทำงานได้ประหยัดพลังงานมากขึ้น

กล้องถ่ายภาพ

กล้องถ่ายภาพของ Note 9 ถูกพัฒนามากขึ้นมาในเชิงของความฉลาดครับ บางค่ายเรียกมันว่า “AI” แต่ของ Samsung ใช้คำว่า Intelligent หรือการปรับแบบอัจฉริยะ

หลักการทำงานคล้ายๆ กัน ก็คือกล้องจะทำงานอัตโนมัติปรับแสงและแต่งภาพตามการวิเคราะห์องค์ประกอบที่มันจับได้ในภาพ โดยมีการกำหนดแนวทางไว้คร่าวๆ ซึ่งเขาเรียกกันว่า “ซีน” โดยใน Note 9 มีอยู่ประมาณ 20 ซีนหลัก (อาหาร ภาพบุคคล ดอกไม้ ฉากในร่ม สัตว์ ทิวทัศน์ ทุ่งหญ้า ต้นไม้ ท้องฟ้า ภูเขา ชายห าด พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ถนน ริมน้ำ ฉากกลางคืน น้ำตก หิมะ นก แสงไฟ ข้อความ) ซึ่งเมื่อกล้องตรวจจับองค์ประกอบพบแล้ว ก็จะแสดงเป็นไอคอนสัญลักษณ์ซีนนั้นๆ ขึ้นมาครับ

ซึ่งจริงๆ แล้วสำหรับผม ผมไม่ค่อยสนใจระบบซีนหรือ AI นี้สักเท่าไหร่หรอกครับ ด้วยเพราะว่ามันเป็นแค่ “แนวทาง” ที่จะนำไปสร้าง “ผลลัพท์” ซึ่งถ้าผลลัพท์ของภาพออกมาดี ผมก็ไม่สนใจเท่าไหร่ว่ามันจะใช้แนวทางอะไรสร้างมา

แต่ก็ต้องพูดถึง สำหรับ Note 9 ผมว่าตัวระบุซีนของมันยังไม่ชัดเจนนะครับ ขึ้นช้า และใช้ไอคอนไม่ตรงใจผมเท่าไหร่ แต่คุณภาพกล้องถ่ายออกมาภาพสวยมาตรฐานตัวท็อปของ Samsung เช่นเคย ไฟล์ภาพสวยมาก คมและถ่ายง่ายมากครับ และระบบ Intelligent ของมันจะช่วยแจ้งเตือนเราได้ด้วยถ้ามันตรวจจับเจอว่า ภาพที่เราถ่ายมามีความเบลอ สั่นไหว ไม่คมชัด หรือมีหลับตาของบุคคลในภาพเป็นต้นครับ

ระบบอัจฉริยะของ Note 9 ไม่มีเปิดปิด มันทำงานในโหมดออโต้นั้นแหละครับ ฉะนั้นผู้สช้ไม่ต้องสนใจแค่เปิดกล้องแล้วถ่ายตามปกติของเราไปก็ได้ภาพดีๆ ของมันออกมาเองครับ

ตัวเซ็นเซอร์กล้องของ Note 9 ด้านหลัง เป็นกล้องคู่แบบ 12 + 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงคู่เหมือน Galaxy S9 ครับ f2.4 และ f1.5 จุดเด่นคือเป็นกล้องมือถือที่รูรับแสงกว้าง ปรับการทำงานของรูรับแสงได้แบบฮาร์ดแวร์จริงไม่ใช่การปรับด้วยซอฟท์แวร์จำลองเท่านั้น

ตัวกล้องก็จะทำงานของมันเอง ทั้งในโหมดซีน และรูรับแสง ซึ่งผลลัพท์ของภาพออกมาคมครับ ภาพมีมิติได้ง่ายโดยไม่ต้องปรับใช้ซอฟท์แวร์อะไรเพิ่ม มีโหมดการถ่ายภาพตัวเด่นๆ เช่น Live Focus การถ่ายภาพละลายหลังซึ่งเหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล และยังคงระบบ Dual capture หรือการเก็บภาพสองระยะในช็อตเดียวเอาไว้ครับ ถ่ายครั้งเดียว เราได้ภาพทั้งมุมแคบมุมกว้างเลยทั้งคู่

การเบลอฉากหลังที่ประบแต่งแสงไฟโบเก้ด้านหลังได้ให้เป็นรูปทรงต่างๆ เมื่อเครื่องตรวจพบดวงไฟ เราปรับให้เป็นหัวใจ ดอกไม้ เกล็ดหิมะ และอื่นๆ ได้เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ในภาพครับ

มี AR Emoji ที่ปรับปรุงมาใหม่ เพิ่มเติมความน่ารักและน่าใช้ให้มากขึ้นด้วยการรองรับการเขียนลงบน Emoji ได้ด้วยปากกา

และเพิ่มหน้าของตัวละครจากดิสนีย์เข้ามาให้เราเล่นด้วยครับ อยากจะเป็นเอลซ่า หรือมิสเตอร์อินเคทดิเบิล ก็แปลงร่างได้เลย ผมลองอัดวีดีโอแล้วส่งให้เพื่อนเพื่ออวยพรวันเกิด ก็น่ารักดีครับ ^^ ส่งออกไปเป็นไฟล์ GIF ก็ได้ สามารถใช้ AR ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังครับ

กล้องมีอะไรให้ใช้หลายอย่างเป็นเครื่องที่กล้องถ่ายภาพใช้งานสนุกมากๆ อีกหนึ่งเครื่อง

กล้องหน้าความละเอียดไม่สูงมาก 8 ล้านพิกเซล แต่ให้คุณภาพและลูกเล่นอย่าง AR Emoji, บิวตี้โหมด, และโหมดเซลฟี่ละลายที่ตัวเครื่องสามารถทำได้ด้วยกล้องหน้าตัวเดียวครับ

ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Note 9

สรุปท้ายรีวิว

เมื่อพิจารณาจากตัวฮาร์ดแวร์ภายนอก ก็ต้องบอกว่าหน้าตาของ Note 9 เปลี่ยนแปลงไปน้อยมากครับ แต่ด้านในปรับเปลี่ยนใส่อะไรเข้ามาไม่น้อยเลย ทั้งการยกสเปคขึ้นจากเดิมทุกด้าน แรม 6GB/8GB หน่วยความจำ 128GB/512GB เป็นแรมและรอมที่เยอะมากครับ

มีการใส่บลูทูธเข้าไปในปากกา S-Pen เพื่อการใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ ถือว่ามีประโยชน์มากเพราะว่าไม่ค่อยมีใครอยากพกอุปกรณ์แยกเพิ่มให้วุ่นวาย ตัวปากกาด้ามเดียวทำให้ได้หลายอย่าง ทั้งวาด ทั้งเขียน ทั้งเป็นอุปกรณ์เสริมควบคุมระยะไกลที่เสียบตูดเครื่องไว้ตลอดเวลา

แบตมากขึ้น ประสิทธิภาพการประมวลผลแรงขึ้น หน่วยความจำมากขึ้น เคยเป็นปากกาที่ดีที่สุดของสมาร์ทโฟนอยู่แล้วก็ยังพัฒนาให้ดีขึ้นมากขึ้นกว่าเดิม

มีฟังก์ชั่นและบริการเสริมอย่าง Samsung Pay และ Galaxy Gift จากแบรนด์ที่มอบให้ผู้ใช้มากที่สุดในไทย (อาจจะที่สุดในโลกด้วย)

ยังไม่นับความพร้อมของอุปกรณ์เสริมต่อยอดที่ครบวงจรของ Samsung ที่ถ้าเบื่อๆ ก็มีมาให้เล่นเพิ่มอีกเพียบเต็มช้อปครับ

ทุกอย่างขยับให้น่าใช้ขึ้นครับ แม้ Note 9 จะไม่ถึงกับเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่ของ Samsung แต่ยังไงก็ยังน่าใช้ที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟนที่มีประโยชน์มากที่สุดในตลาดอยู่ดีครับ ^^

[signoff predefined=”Samsung Note 9 Review”][/signoff]

แชร์
Avatar photo

ในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจ มันก็ยังมีระดับความลึกของความเข้าใจที่แตกต่างกัน ลึกบ้าง บางบ้าง แต่ประโยชน์ในการส่งผ่านสิ่งที่รู้ออกไปให้กับผู้อื่นนั้นไม่ต่างกัน มีประถม มีมัธยม มีอุดมศึกษา ไม่มีใครเริ่มต้นเรียนรู้จากในระดับปริญญา ฉะนั้นจะมากจะน้อยเชื่อเถอะว่า ความรู้ของทุกคนมีประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้ เท่าๆ กัน

Advertisement
Exit mobile version