Advertisement

OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G สมาร์ตโฟนราคาระดับกลาง เปิดตัวมาพร้อมกับความสามารถเด็ด Telephoto Portrait Camera 32MP หรือกล้องพอร์ตเทรตซูมได้ เป็นครั้งแรกที่ความสามารถนี้ถูกใส่มาในสมาร์ตโฟน Reno Series ช่วยให้ถ่ายภาพได้สวย ถ่ายคนก็โดดเด่นได้มากกว่า ด้วยระยะการซูมออปติคัล 2 เท่า ซึ่งเป็นความสามารถที่มีอยู่ทั้งใน Reno10 5G และ Reno10 Pro 5G เลยครับ

Advertisement

32MP Telephoto Portrait Camera

OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G มีระบบกล้องหลังที่ทรงพลังเป็นพิเศษ ทุกกล้องเป็นกล้องคุณภาพดี ประกอบด้วยกล้องหลัก 64MP Ultra-Clear สำหรับ OPPO Reno10 5G และกล้อง Sony IMX890 50MP สำหรับในรุ่น OPPO Reno10 Pro 5G

โดยทั้งคู่ จะมาพร้อมกล้องถ่ายภาพบุคคล 32MP Telephoto Portrait ที่ใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ RGBW IMX709 และให้ความละเอียดสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ตโฟนกลุ่มราคานี้ ซึ่งเป็นกล้องตัวเด่นที่ทำให้การถ่ายภาพพอร์ตเทรตมีคุณภาพสูงมาก สามารถถ่ายภาพบุคคลในระยะการซูม 2x หรือเทียบเท่ากับระยะความยาวโฟกัส 47มม. ของเลนส์กล้องโปร ซึ่งเป็นระยะนิยมสำหรับเลนส์ที่หยิบมาเพื่อถ่ายภาพบุคคลนั้นเองครับ  และเลนส์ที่สามเป็นกล้อง Ultra Wide Angle มุมมองกว้าง 112 องศา ความละเอียด 8MP ซึ่งจะถูกติดตั้งมาให้ทั้งสองรุ่นด้วยเช่นกัน

ที่โดดเด่นที่สุดก็คงเป็นโหมดการถ่ายภาพบุคคลของ Reno10 Series 5G ที่จัดเต็มแบบมาครบนี้แหละครับ เป็นครั้งแรกกับสมาร์ตโฟนราคาระดับกลางที่มาพร้อมกับ Telephoto Portrait Camera ที่สามารถซูมถ่ายภาพบุคคลแบบออปติคอลได้ 2 เท่า หรือเทียบเท่าความยาวโฟกัสประมาณ 47mm. สร้างความลึกของมิติที่แตกต่างกันกับระยะ 1x ได้อย่างชัดเจน

ความแตกต่างของมุมมองภาพในระยะ 1x (เทียบเท่าเลนส์ความยาวโฟกัส 24mm.) และระยะ 2x (เทียบเท่าเลนส์ความยาวโฟกัส 47mm.)

เพราะระยะการซูมและระยะความยาวโฟกัสที่เปลี่ยนไป จะมีผลกับมุมมองในภาพที่ได้อย่างชัดเจน ยิ่งระยะโฟกัสลึกฉากหลังก็จะถูกยืดออกไปให้ดูไกลจากตัวแบบมากขึ้นไปด้วย ทำให้เวลาเราถ่ายภาพบุคคล ฉากหลังก็จะมีมิติมากขึ้นนั้นเองครับ

การละลายหลังของโหมดถ่ายภาพบุคคลยังคงทำได้ดีตามสไตล์กล้อง OPPO มากับการปรับแต่งใบหน้าเนียนใส ปรับได้เป็นธรรมชาติถึง 100 ระดับ

โหมดความสนุกในการถ่ายภาพบุคคลอย่าง AI Color Protrait การตัดสีฉากหลังให้กลายเป็นขาวดำถูกใส่เข้ามาให้

โหมด Bokeh Fair Portrait การเร่งเม็ดไฟโบเก้ฉากหลังให้กลมโต เพิ่มความสวยงามและหวานซึ้งให้กับภาพบุคคลก็ถูกใส่มาด้วยเช่นกัน  มีครบครับฟิลเตอร์และการปรับแต่งใบหน้ารีทัชให้สวยใส ถ่ายง่าย ภาพสวย หน้าคนก็สวยเหมือนผ่านโฟโต้ช้อปไปพร้อมกันด้วย ^^

ถ่ายก่อนแล้วนำมาเลือกระยะชัดลึกชัดตื้นได้ใหม่หลังการถ่ายไปแล้วสำหรับรูปจากโหมดถ่ายภาพบุคคล

และทั้งหมดที่ว่ามา ก็สามารถใช้งานได้กับกล้องหน้าของรุ่นด้วยนะครับ ทั้งสองรุ่นจะใช้กล้องหน้าความละเอียด 32MP ด้วยกันทั้งสองรุ่น โดยจะมีโหมดการถ่ายโบเก้ละลายหลังที่สามารถซูมภาพได้ 2 เท่า ตรวจจับใบหน้าอัตโนมัติ มากับฟังก์ชั่นการเล่นกับการตัดสี AI Color Protrait และ Bokeh Fair Portrait รวมถึงการรีทัชใบหน้าเนียนใสที่ทำมาได้อย่างละเอียด เพราะสามารถปรับอวัยวะบนใบหน้าได้แทบทุกส่วนเลยสำหรับกล้องหน้าสองรุ่นนี้

และใน OPPO Reno10 Series 5G ไม่ได้ทำดีมาแค่เรื่องของภาพนิ่งเท่านั้นครับ เพราะในการถ่ายวีดีโอก็มากับการถ่ายวีดีโอที่สามารถละลายหลังบุคคลได้แบบเรียลไทม์เช่นกัน ฟีเจอร์การตัดสีสันของภาพให้เหลือแค่เพียงสีแดง, สีเขียว และสีฟ้า รวมถึง AI Color Protrait และ Bokeh Fair Portrait ก็ทำได้เช่นเดียวกับการถ่ายภาพนิ่ง รวมถึงการรีทัชใบหน้า ก็ทำได้แบบเรียลไทม์ในขณะถ่ายวีดีโอด้วยเช่นกันครับ ซีรี่ส์นี้เก่งเรื่องการถ่ายคนมากจริงๆ

ตัวอย่างภาพถ่ายบุคคลจากโหมดและฟิลเตอร์ต่างๆ ในระยะ 1x และ 2x

OPPO Reno10 5G –

OPPO Reno10 Pro 5G –

จะเห็นว่าในเรื่องของสเปคกล้องหลัง จะมีความแตกต่างที่เซนเซอร์ตัวกล้องหลักเท่านั้น ให้ความละเอียดสูงสุดที่แตกต่างกัน แม้ OPPO Reno10 Pro 5G จะมีกล้องหลักที่ความละเอียดน้อยกว่าตัว OPPO Reno10 5G แต่ก็ใช้เซนเซอร์แบรนด์ดีจาก SONY IMX890 เป็นเซ็นเซอร์แฟลกชิปขนาดใหญ่ 1/1.56 นิ้ว มีพิกเซลขนาด 2.0μm แบบ 4-in-1 และเป็นกล้องที่ระบบกันสั่น OIS ในตัวด้วย (ตัว 64MP Ultra-Clear ของกล้องรุ่น OPPO Reno10 5G จะไม่มีกันสั่น OIS)

ถ้ามาพิจารณาดีๆ ดูจากโทนความเข้มและความลึกของรายละเอียดภาพ ตัวกล้องหลัก OPPO Reno10 Pro 5G จะให้โทนสีและรายละเอียดภาพที่ดูจริงจังเป็นเอกลักษณ์ของกล้องออกมาได้มากกว่าครับ ส่วน OPPO Reno10 5G จะได้ภาพในความละเอียดที่สูงกว่าด้วยระดับ 64MP ไปแทนนั้นเอง โดยทั้ง OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G จะใช้ซอฟท์แวร์กล้องที่แทบจะเหมือนกัน รองรับการซูมภาพตั้งแต่การถ่ายภาพมุมกว้าง 0.6x ไปจนถึงซูมดิจิทัลสูงสุดที่ 20x กลางวันสวย กลางคืนก็ยังไหวครับ ทั้งการถ่ายภาพบุคคลและการถ่ายวิวในโหมดกลางคืน ภาพคม กำจัดนอยส์ของภาพได้ดี

ตัวอย่างภาพจาก OPPO Reno10 5G

ตัวอย่างภาพจาก OPPO Reno10 Pro 5G

สวยหรู ตัวเครื่องบางเบา พร้อมดีไซน์ 3D Dual–Curved

ความแตกต่างของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ไม่อาจแยกได้ด้วยการดูจากตัวเครื่องภายนอกครับ อาจจะแยกได้ด้วยสีสันเฉพาะรุ่น เพราะใช้การออกแบบตัวเครื่องที่คล้ายกัน ตัวเครื่องทั้งสองรุ่นสวยหรู บางเฉียบ ผิวสัมผัสน่าลูบไล้มาก มีน้าหนักเบาและถือได้ง่ายด้วยการออกแบบตัวเครื่องแบบ 3D Dual – Curved หน้าจอด้านหน้าโค้งลง 56องศา ประกับพอดีกับฝาหลังที่โค้งเข้ามือแบบ 3D

น้ำหนักตัวเครื่องแค่ประมาณ 185 ก. ความหนาประมาณ 7.99 สำหรับ OPPO Reno10 5G และหนา 7.89 มม. สำหรับ OPPO Reno10 Pro 5G ด้วยความต่างกันเพียงตัวเลขระดับนี้ ในสายตาของเราจะเห็นว่ามันเท่ากัน ผลิตมาในเทคโนโลยี OPPO Glow ฝาหลังสร้างจากผลึกขนาดเล็ก เทคนิคผลิตเฉพาะของ OPPO จับแล้วเนียนมือ ไม่เกิดรอยคราบมัน และทนทานต่อการเกิดรอยขีดข่วนได้ดี เป็นผิวสัมผัสที่น่าใช้งานอย่างมากครับ

โดยทั้งสองรุ่นจะมีการนำเข้ามาจำหน่ายในตัวเลือกสีที่ต่างกัน สำหรับ OPPO Reno10 5G จะมาพร้อม 2 สี นั้นคือสีใหม่สีฟ้า Ice Blue เป็นสีเฉพาะของรุ่นที่เห็นในบทความนี้ เป็นสีฟ้าแกมม่วง ให้สีสันคล้ายแสงที่ส่องผ่านก้อนน้ำแข็งสีน้ำเงิน สะท้อนเงาเกิดเป็นหลายเฉดสีเมื่อแสงมากระทบ มาพร้อมกับอีกหนึ่งสีคือ Silvery Grey สีเทาคล้ายผิวโลหะ สะท้อนกับแสงเล่นลวดลายได้เช่นกัน เป็นสีที่ดูสุขุมและสงบผ่อนคลาย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

 

และสำหรับ OPPO Reno10 Pro 5G ก็จะมาพร้อมกับสีเทา Silvery Grey เช่นกัน โดยจะมีอีกหนึ่งสีไฮไลค์คือสีม่วง Glossy Purple เป็นสีใหม่ดูพรีเมียม เครื่องโทนสีม่วงเมทัลลิค ซึ่งเป็นสีเฉพาะของรุ่น OPPO Reno10 Pro 5G นั้นเองครับ

ตัวเครื่องสวยงาม บางเบา เก็บรายละเอียดรอบเครื่องได้อย่างดี ดูเป็นเครื่องระดับพรีเมี่ยมครับ จัดวางกล้องหลังเชื่อมต่อกันไว้แบบ Custom Camera Matrix ครึ่งบนบรรจุกล้องหลักและโมดูลแฟลชล้อมด้วยโลหะกลมที่ทำลวดลาย CD อยู่ภายใน ครึ่งล่างทำจากวัสดุกระจกสีดำ ติดตั้งกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera และกล้อง Ultra-Wide-Angle Camera ด้วยสีทูโทนที่ตัดกันของวัสดุที่ผสมผสาน

และทั้งสองรุ่นยังเป็นสมาร์ทโฟนซีรี่ส์แรกของ OPPO ที่วางจำหน่ายทั่วโลกพร้อมกับ IR อินฟราเรด ที่สามารถเปลี่ยนสมาร์ตโฟนของเราให้กลายเป็นรีโมตควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ด้วยครับ

จอคุณภาพสูง 120Hz ขอบจอบางเฉียบแค่ 1.57มม.

OPPO Reno10 Series 5G มากับหน้าจอคุณภาพสูงเลยครับ เป็นจอ AMOLED 3D Curved ขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว รองรับการแสดงผลในโลกของ 1 พันล้านสี ความละเอียดสูง 2412×1080 พิกเซล รีเฟรชเรทสูง 120Hz ความสว่างสูง 950nits มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 93% เรียกว่าขอบจอแทบไม่มี ขอบจอด้านซ้ายและขวาที่บางเพียง 1.57 มม. และขอบจอด้านล่างที่บางเพียง 2.32 มม.

ทั้งคู่ใช้หน้าจอที่รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนจอได้โดยตรง และสามารถสแกนใบหน้าด้วยกล้องหน้าได้ด้วยเช่นกัน ไม่มีปัญหาในการทดสอบใช้งาน สแกนได้ไวมากทีเดียว

ตัวกระจกหน้าจอของ OPPO Reno10 Series 5G ยังได้เลือกใช้กระจก Dragontrail Star 2 ของบริษัทอาซาฮีจากประเทศญี่ปุ่น (AGC) เป็นกระจกเคลือบแกร่งที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนและการตกได้มากกว่า Corning Gorilla Glass 5 ถึง 20% ก็เรียกได้ว่าหน้าจอของ OPPO Reno10 Series 5G ทั้งสองรุ่นเป็นจอที่ยอดเยี่ยมได้เลยครับ รับชมความบันเทิงได้อย่างเต็มที่

ในเรื่องของระบบเสียงทั้งสองรุ่นจะมีสิ่งที่แตกต่างกัน เพราะในด้านเสียงของ OPPO Reno10 5G รุ่นน้อง จะให้มาเป็นลำโพงคู่สเตอริโอ เสียงมีมิติดังชัดสะใจ และมาพร้อมระบบเสียง Ultra Volume ที่สามารถเร่งเสียงได้ดังมากกว่าปกติถึง 200%

โดยเราจะสังเกตเห็นการเจาะช่องลำโพงที่อยู่บริเวณสันเครื่องด้านบนของ OPPO Reno10 5G ซึ่งช่องลำโพงด้านบนนี้จะไม่มีใน OPPO Reno10 Pro 5G นะครับ และตัวรุ่นพี่นี้จะให้เสียงจากลำโพงหลักด้านล่างเป็นลำโพงเดี่ยว แต่เนื้อเสียงจากลำโพงหลักยังคงมีพลังเสียงและความดังคมชัดที่ดีเช่นกันนะครับ

ระบบชาร์จรวดเร็วทรงพลัง และชิปจัดการพลังงานตัวใหม่ SUPERVOOC S

OPPO Reno10 5G

จะให้แบตเตอร์รี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh พร้อมระบบชาร์จไวตัวเก่งของแบรนด์ 67W SUPERVOOC สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มในเวลาแค่ 47 นาที พร้อมทั้งการดูแลด้านความปลอดภัย 5 ขั้นตอน ดูแลตั้งแต่ต้นทางไฟเข้าจากอะเดปเตอร์ยันแบตเตอรี่ภายในตัวเครื่อง ควบคุมไฟเกิน และควบคุมอุณหภูมิ ด้วยอัลกอริธึม Freeze Protection ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องแบตเตอรี่ในสภาวะที่เย็นจัดหรือมีความร้อน ตั้งแต่ -20°C ถึง 35°C ใช้งานได้อุ่นใจไม่เคยเจอปัญหา

และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เพราะถูกออกแบบมาภายใต้มาตรฐาน Battery Health Engine ที่จะรองรับรอบการชาร์จและคายประจุได้มากถึง 1,600 รอบ ถ้าคำนวนจากการใช้งานเฉลี่ยวันละ 1 รอบ แบตเตอรี่ของเราก็จะอยู่ในสภาพที่ดีได้นานถึงประมาณสี่ปีเลยทีเดียวครับ

OPPO Reno10 Pro 5G

ให้ระบบชาร์จที่รวดเร็วอย่างมาก กับแบตเตอรี่ 4,600mAh พร้อมเทคโนโลยี 80W SUPERVOOC สามารถชาร์จแบตได้เต็มในเวลาแค่ 28 นาทีเท่านั้นครับ และแน่นอนว่ายังมากับความปลอดภัยที่รักษามาตรฐานเอาไว้ได้คงเดิม ดูแล ไม่ได้เพิ่มเติมแต่แค่เพียงกำลังไฟเท่านั้น

และเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม กับชิปจัดการพลังงานที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ OPPO ตัวใหม่ “SUPERVOOC S” ที่ถูกใส่เข้ามาให้แค่เฉพาะ OPPO Reno10 Pro 5G (และ OPPO Reno10 Pro+ 5G)

SUPERVOOC S เป็นชิปใหม่ของอุตสาหกรรม ที่รวมฟังก์ชันการดูแลเรื่องการชาร์จและการคายประจุของแบตเอาไว้ในที่เดียว รวมถึงหน้าที่ในการป้องกันตัวแบตเตอรี่พร้อมเบรกเกอร์ไว้ในตัวเอง สถาปัตยกรรมใหม่นี้เข้ามาช่วยลดพื้นที่ใช้สอยสำหรับการออกแบบภายในเครื่อง และด้วยการลดขั้นตอนทั้งหมดมาให้อยู่ในชิปเดียวกันจึงส่งผลให้การทำงานของระบบไฟทั้งขาเข้าและขาออกสามารถจัดการได้รวดเร็วขึ้นถึง 45% ผลลัพท์คือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคายประจุของแบตได้ถึง 99.5% และตัวแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้นอีกด้วย

โดยแบตเตอรี่ของ OPPO Reno10 Pro 5G แม้จะรองรับระบบชาร์จไวในระดับไฟสูงถึง 80W แต่ก็จะสามารถรองรับรอบการชาร์จและคายประจุเข้าออกได้มากถึง 1,600 รอบการชาร์จ แบตเตอรี่ของเราก็จะอยู่ในสภาพที่ดีได้ใกล้เคียงมาตรฐานเดิมได้นานถึงประมาณสี่ปีได้ด้วยเช่นกันครับ

และต้องชมการพัฒนาของ OPPO ที่ทำตัวอะเดปเตอร์ 80W SUPERVOOC ให้มีขนาดเท่าเดิมกับตัว 67W SUPERVOOC ทั้งขนาดและรูปทรง ไม่เกะกะต่อการพกพา แต่จะสกรีนเขียนบอกเอาไว้ให้รู้ครับ

ประสิทธิภาพการใช้งานที่ลื่นไหล

OPPO Reno10 5G เลือกใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 ชิปเซ็ต 5G ที่ผลิตมาในเทคโนโลยีระดับ 6nm มีความแรงมากพอที่จะให้ประสิทธิภาพในการใช้งานได้อย่างเพียงพอทั้งในการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกม

มาพร้อมกับ RAM ขนาดใหญ่ 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 256GB รองรับโหมด RAM Expansion ที่เปลี่ยนพื้นที่เก็บข้อมูล (ROM) ที่ยังไม่ได้ถูกใช้งานให้กลายเป็น RAM ชั่วคราวได้สูงสุดอีก 8GB

รองรับการใช้งาน 5G ทั้งสองสล็อตซิมการ์ด (สามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้ผ่านช่อง micro SD จากถาดใส่ซิมที่สองที่เป็นแบบไฮปริด)

การใช้งานของ OPPO Reno10 5G ให้ประสบการณ์อยู่ในระดับสมาร์ตโฟนระดับกลางครับ มีความลื่นไหลตอบสนองได้ไวพอตัว ทำงานต่างๆ ไม่เจอปัญหาแลค ค้าง ช้า นำมาเล่นเกมก็ทำได้ดี แม้จะไม่สามารถตอบสนองได้ว่องไวรวดเร็วเหมือนสมาร์ทตโฟนตัวท็อปเรือธง แต่ก็ถือว่าแรงมากพอที่จะใช้งานได้เต็มที่ไม่มีอะไรที่ขัดใจแน่นอนครับ

OPPO Reno10 Pro 5G ตัวรุ่นพี่ใช้ชิปเซ็ตกระแสหลักอย่าง Qualcomm Snapdragon 778G 5G เทคโนโลยีการผลิตระดับ 6nm และ RAM ที่ให้มาในขนาดใหญ่อลังการมาก กับ RAM 12GB ที่สามารถขยายได้เพิ่มอีกสูงสุด 12GB รวมเป็น 12GB+12GB เลยทีเดียวครับ เรียกได้ว่าช่องการส่งข้อมูลมีพื้นที่ที่ใหญ่เอามากๆ

พื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายใน 256GB รองรับ 5G ทั้งสองสล็อตซิม (ใช้ถาดซิมแบบสองสล็อต ไม่รองรับการใส่ micro SD Card เพิ่มเติม)

ประสิทธิภาพการใช้งานของ OPPO Reno10 Pro 5G ค่อนข้างมีพลัง Snapdragon 778G 5G ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ตอบสนองได้ดี ทันใจ เล่นเกมได้ลื่นไหล ประคองเฟรมเรทได้นิ่งเลยครับ รวมกับแรมที่ให้มาขนาดใหญ่มากๆ รุ่นนี้จึงให้ประสบการณ์การใช้งานในระดับ Mid-High end ทำงานต่างๆ ได้ทันใจแน่นอน

จากการทดสอบใช้ OPPO Reno10 Pro 5G ในการชาร์จพลังงานไปด้วย ใช้งานไปด้วยพร้อมๆ กัน ตัวเครื่องควบคุมความร้อนได้อยู่หมัดเลยครับ ไม่เกิดความร้อนสะสมใดๆ ให้ต้องเป็นกังวลแม้จะรองรับเทคโนโลยีชาร์จไวที่สูงถึง 80W ก็ตาม ภายในมีการติดตั้งระบบระบายความร้อน VC liquid cooling area ที่มีขนาดใหญ่พิเศษ ช่วยให้ OPPO Reno10 Pro 5G มีอุณหภูมิที่เย็นลงแม้ในการใช้งานขณะที่โหลดหนักๆ ก็ไม่ทำให้เครื่องเสียประสิทธิภาพไปด้วยความร้อนครับ

OPPO ยังคงใช้มาตรฐาน 48-Month Fluency Protection การทดสอบที่เข้มงวดเพื่อจำลองการใช้งานตามชีวิตประจำวันของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการทนต่อแรงกด ทนต่อแรงบิด หรือการกระทบ รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ และปุ่มกดใช้งาน ที่ต้องทนทานและใช้งานได้เป็นเวลายาวนาน รวมถึงตัวระบบที่เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ 48-Month Fluency
Protection ที่ทำให้ผู้ใช้จะได้ประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลยาวนาน ผ่านไป 48 เดือนหรือประมาณ 4 ปี เครื่องนี้จะยังคงให้ประสิทธิภาพได้ใกล้เคียงเท่าเดิม ไม่เสื่อมสภาพไปก่อนเวลาอันสมควร

มาตรฐานเหล่านี้คือสิ่งที่แบรนด์ OPPO ทำมาได้ดีและทำเสมอมาครับ เราจึงไม่ค่อยได้ยินข่าว หรือเจอปัญหาในการใช้งานอุปกรณ์ OPPO ให้ได้ยินกันสักเท่าไหร่ แบรนด์ใหญ่มาตรฐานดี อยู่ในเมืองไทยมานานถึง 15 ปีแล้วครับ ^^

OPPO Reno10 Series 5G ระบบภายในใช้งาน Android 13 ครอบทับด้วย ColorOS 13.1 เป็นระบบใหม่สุดที่อัปเกรดมาทั้งด้านความสะดวก และความปลอดภัยครับ โดยทั้ง OPPO Reno10 5G และ Reno10 Pro 5G เป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวจากองค์กรภายนอกอย่าง ISO27001, ISO27701, ePrivacy, TRUSTe และอื่นๆ อีกมากมาย

ปกป้องความเป็นส่วนตัว มีมาให้ทั้งการล็อกแอป ซ่อนแอป และสร้างพื้นที่ตู้เซฟส่วนตัวที่ล็อคไว้ด้วยรหัสห้ามไม่ให้คนอื่นเข้าใช้งานได้ รวมถึงการโคลนระบบให้กลายเป็นมือถือเครื่องที่สองเพื่อการใช้งานแยกกันเป็นเอกเทศได้ บนสมาร์ตโฟนเครื่องเดียวครับ

มีการเพิ่มความสามารถของ “แดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว” เป็นกราฟสัดส่วนการใช้งานใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา แจ้งให้เรารู้ว่ามีแอปใดบ้างที่เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเรา เช่น แอบเข้ามาดูบันทึกการโทร เข้ามาดูตำแหน่ง หรือมีการเรียกใช้งานคุณสมบัติของเครื่องในด้านต่างๆ โดยแดชบอร์ดดังกล่าวจะแสดงการเข้ามาเรียกใช้ข้อมูลให้เราได้รู้ทั้งหมดครับ

ระบบเหล่านี้เข้ามาช่วยให้เราป้องกันข้อมูลส่วนตัว และการเข้าถึงแอปใช้งานที่สำคัญจากบุคคลอื่นได้อย่างดี เช่นแอปการเงิน แอปธนาคาร เราสามารถล็อกแอปเอาไว้ หรือใช้งานแค่เพียงในระบบจำลองที่เราโคลนพื้นที่ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้งานในด้านการเงินโดยเฉพาะเป็นต้นครับ

ระบบป้องกันข้อมูลส่วนตัวที่อาจจะหลุดไปจากไฟล์ภาพที่แชร์ มีตัวเลือกในการลบข้อมูล EXIF ของภาพ และลบข้อมูลตำแหน่งที่ภาพจัดเก็บไว้ออกไปก่อนการแชร์ เพื่อไม่ให้ผู้ที่ได้ภาพไปรู้ตำแหน่งหรือข้อมูลของเราจากไฟล์ภาพ

รวมถึงการเบลอข้อมูลชื่อและภาพอวตารของคู่สนทนาได้อัตโนมัติ ด้วย Auto Pixelate ก่อนการแชร์บทสนทนาของเราออกไป จะมีเครื่องมือในการแก้ไขให้เราใช้งานได้อย่างง่ายๆ เพื่อเบลอรูปไอคอนหรืออวตารของผู้ที่สนทนากับเรา หรือเบลอชื่อได้แบบอัตโนมัติ

ด้านความสะดวกก็มาพร้อมกับระบบที่ช่วยเหลือผู้ใช้หลายตัวที่น่าสนใจครับ การใช้งานข้ามอุปกรณ์ด้วย HeyTap ID ระบบพื้นที่จัดเก็บบนคลาวด์สำหรับการสำรองรายชื่อ, รูปภาพ, รหัส Wi-Fi หรือประวัตเบราว์เซอร์เป็นต้นครับ

เรายังสามารถใช้งานระบบ Multi-Screen Connect ที่สามารถทำให้ OPPO Reno10 Series 5G สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างเช่นแท็บเล็ต หรือ PC, Notebook ที่รันระบบ Windows ได้ ช่วยให้เราทำงานต่างๆ ผ่านหน้าจอ PC ได้เหมือนควบคุมบนสมาร์ตโฟนโดนตรง รวมถึงเมื่อเชื่อมต่อแล้วเรายังสามารถแชร์ภาพ แชร์คลิป ซิงการแจ้งเตือนและการติดต่อ รวมถึงการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างสมาร์ตโฟนและ PC ได้อย่างง่ายดายมากขึ้นอีกด้วย

(ผู้ใช้งาน Windows สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน OPPO ได้จากลิงก์นี้ > ดาวน์โหลด Multi-Screen Connect For Windows )

มีความสามารถน่ารักที่น่าสนใจใส่เข้ามาให้อย่าง Zen Space “พื้นที่แห่งความสงบ” หยุดพักการใช้มือถือเพื่อเสริมความสงบให้กับร่างกายและจิตใจ หรือในวันที่วุ่นวายอยากกับการเรียนหรือการทำงานที่เร่งรีบ จะหยุดรับสายหรือหยุดใช้งานสมาร์ตโฟนในช่วงเวลาเหล่านั้น เราสามารถใช้โหมดนี้ช่วยเราได้ครับ

มีระดับความสงบให้เลือกเป็นเหมือนการท้าทายตัวเอง ^^ หยุดทั้งหมด หรือจะหยุดแค่ส่วนใหญ่แล้วใช้เท่าที่จำเป็น คุณเลือกวิถีแห่งเซนของคุณได้เอง ^^

ระบบ Smart Always-On Display การแสดงผลในขณะหน้าจอล็อก นอกจากจะสามารถดูการแจ้งเตือนที่เข้ามาได้ในทันทีแล้ว เรายังเราสามารถใช้ควบคุมการใช้งานผ่าน Smart AOD ได้โดยไม่ต้องปลดล็อกเครื่องก่อน อย่างเช่นการควบคุมเพลงจากแอป Spotify ได้ เป็นต้น

เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในระบบอีโค่ซิสเต็มของ OPPO ได้ง่ายดาย อย่างเช่นการเชื่อมต่อกับ OPPO Enco Air3 Pro หูฟังไร้สายตัวใหม่ที่เปิดตัวมาพร้อมกันกับ OPPO Reno10 Seires 5G เพียงลงชื่อด้วยบัญชี HeyTap บนอุปกรณ์หลายเครื่อง ก็สามารถแชร์การเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สาย OPPO Enco Air3 Pro  สามารถสลับใช้งานระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติตามการเล่นเสียง เพราะหูฟัง OPPO Enco Air3 Pro มีความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้สองเครื่องพร้อมกัน

สรุปท้ายรีวิว

OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G สมาร์ตโฟนระดับราคากลางที่โดดเด่นมากในเรื่องของ กล้องถ่ายภาพ หน้าจอแสดงผล ระบบชาร์จ และความสวยงามของตัวเครื่อง

กล้อง 32MP Telephoto Portrait ความละเอียดสูงจากเซนเซอร์ที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตลาดระดับราคาเดียวกัน การถ่ายภาพพอร์ตเทรตด้วยระยะซูม 2 เท่าแบบออฟติคัล ไม่สูญเสียรายละเอียดแถมยังสร้างภาพบุคคลที่แตกต่างไปจากกล้องโทรศัพท์ทั่วไป มีความลึกของมุมมองภาพในแบบทางยาวโฟกัส 47mm. เหมือนเลนส์ถ่ายคนของกล้องโปรโดยเฉพาะ บวกกับความสามารถในการปรับแต่งใบหน้า โฟกัสตรวจจับบุคคล และฟังก์ชั่นจากฟิลเตอร์สวยๆ ของ OPPO ที่ใส่เข้ามาให้เต็มเครื่อง รุ่นนี้พกพาท่องเที่ยวสนุกครับ ถ่ายคนสวย ถ่ายวิวก็สวย เพราะมีเลนส์มุมกว้างและกล้องมีความละเอียดที่สูง พร้อมใช้งานได้ทั้งการถ่ายภาพกลางวันและกลางคืน ไม่กลัวที่แสงน้อยครับ

หน้าจอแสดงผลระดับยอดเยี่ยม ภาพสวย สีสด ขอบจอเล็กมากจนแถบจะไม่มี รีเฟรชเรทสูง 120Hz พร้อมใช้งานได้ลื่นไหลสมูธสายตา งานด้านความบันเทิงก็เหมาะสมมากสำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ ทั้งดูหนัง เล่นเกม หรือใช้งานแอปโซเชี่ยลต่างๆ ดูคลิปสั้นคลิปยาวหรืออ่านหนังสือ หน้าจอสว่างใช้งานกลางแจ้งได้ และใช้งานได้สบายตาในที่มืดด้วยโหมดถนอมสายตาที่ทำมาได้ดีครับ

ระบบชาร์จไวที่มีทั้งความรวดเร็วและความปลอดภัยในตัวเดียวกัน ชาร์จไวอุ่นใจไม่เคยเจอปัญหา ควบคุมความร้อนได้อย่างดี มีระบบป้องกันภัยไว้หลายขั้นตอน สามารถชาร์จแบตได้เต็มในเวลาแค่ 47 นาที สำหรับ 67W SUPERVOOC ใน OPPO Reno10 5G และใช้เวลาแค่ 28 นาที สำหรับ 80W SUPERVOOC ที่มีมาให้ใน OPPO Reno10 Pro 5G

สุดท้ายคือความสวยงามของตัวเครื่อง ยังคงยอดเยี่ยมในเรื่องของการออกแบบและเทคนิคการผลิต สมาร์ทโฟนของ OPPO ยังคงเต็มไปด้วยความเป็นแฟชั่น ดูสวยงาม หรูหรา บางเบา และมีความทนทาน ทั้งทนต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันด้วยกระจกจอ Dragontrail Star 2 และฝาหลังที่ผลิตด้วยเทคนิค OPPO Glow ทนต่อรอยขีดข่วนและไม่เกิดคราบรอยนิ้วมือในการถือใช้งาน รวมถึงความทนทานในมาตรฐายทดสอบของ OPPO 48-Month Fluency Protection ใช้งานไปนาน 4 ปียังคงประสิทธิภาพเอาไว้ได้ไม่เสื่อมชำรุดกันไปง่ายๆ

ทั้งหมดที่ว่ามารวมอยู่ใน OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G สมาร์ตโฟนสองรุ่นนี้แล้วครับ

ราคาจำหน่ายของ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ประกาศออกมาอยู่ที่…

  • OPPO Reno10 5G จะวางจำหน่ายในราคา 13,990 บาท
  • OPPO Reno10 Pro 5G ราคา 17,990  บาท
  • และ OPPO Reno10 Pro+ 5G รุ่นพี่ใหญ่ที่เปิดตัวมาพร้อมกันอีกหนึ่งรุ่น เป็นรุ่นที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 8+ Gen 1 เปิดจำหน่ายราคา 27,990 บาท
  • หูฟัง OPPO Enco Air3 Pro มีให้เลือก 2 สีสุดสวยงาม ได้แก่ สีขาวและสีเขียว วางจำหน่ายในราคา 2,999 บาท

สัมผัสสมาร์ตโฟน 5G กับพลังแห่ง “The Portrait Expert” ทั้ง 3 รุ่นได้แล้ววันนี้ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ พิเศษสุด! สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ OPPO Reno10 Series 5G ล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้ – 26 กรกฎาคม 2566 รับฟรีทันทีของสมนาคุณรวมมูลค่าสูงสุด 12,698 บาท ประกอบไปด้วย

  • Camping Chair มูลค่า 1,499 บาท
  • OPPO E-VIP Card มูลค่าสูงสุด 10,000 บาท
  • OPPO Band มูลค่า 1,199 บาท

และเป็นเจ้าของ OPPO Reno10 Series 5G ได้ง่ายขึ้นเมื่อซื้อกับผู้ให้บริการเครือข่ายรับส่วนลดสูงสุด 8,100 บาท โดย OPPO Reno10 Series 5G จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการพร้อมกันวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/oppothai/


รีวิว OPPO Enco Air3 Pro

ปิดท้ายด้วยการแนะนำหูฟังไร้สายตัวใหม่ มาในราคาเบาๆ แต่คุณสมบัติเกินตัว เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เปิดตัวออกมาพร้อมกันกับ OPPO Reno10 Series 5G และยังเป็นหูฟังที่ใช้ไดอะแฟรมใยไผ่ Bamboo-fiber Diaphragm รุ่นแรกของโลก!

ด้วยคุณสมบัติของเกล็ดใยไผ่ที่นำมาผลิต จะมีความหนาสม่าเสมอกันและมีความทนทานต่อการเจาะทะลุอย่างมาก จึงสามารถนำมาประดิษฐ์เป็นไดอะแฟรมที่เข้ากันได้ดีกับหูฟังขนาดเล็ก และยังมีความแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อทดสอบเปรียบเทียบกับไดอะแฟรมแบบเคลือบไททาเนียมที่ใช้กันอยู่ทั่วไป

และไดอะแฟรมใยไผ่ยังสามารถสร้างเสียงที่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงความถี่สูงได้ดีกว่า สร้างเสียงที่นุ่มนวลและน่าหลงใหลได้ด้วยน้ำหนักที่เบากว่าไดอะแฟรมไททาเนียมได้ถึง 60% เลยทีเดียว เรียกว่าเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจของวงการหูฟังเลยทีเดียวครับ

ตัวเล็ก ก้านสั้น น้ำหนักเบา แค่เพียง 4.9 กรัมสำหรับตัวหูฟัง (น้ำหนัก 47.3 กรัมเมื่อรวมกับเคส) การออกแบบดูดูดันมีทรวดทรงที่ดูมีพลังมากขึ้น ผลิตมาในมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP55 จึงเหมาะสำหรับสวมใส่เล่นกีฬาได้ด้วยเช่นกัน โดยเหงื่อหรือโดนน้ำฝนไม่เสียหายเมือใช้งานกลางแจ้ง

ตัวเคสมีขนาดเล็กประมาณฝ่ามือ ดีไซน์แบบผิวสองชั้น บริเวณฝาด้านบนใช้วัสดุกึ่งใสเคลือบไว้อีกชั้นเพื่อเล่นระดับสีสัน ใช้พอร์ตชาร์จแบบ USB Type C รองรับชาร์จเร็ว เราสามารถแวะชาร์จ 10 นาที เพื่อใช้งานต่อได้ 2 ชั่วโมง แต่ถ้าแบตหมดทั้งตัวหูฟังและเคส จะใช้เวลาชาร์จรวมประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อที่จะให้แบตเตอรี่เต็ม 100%

OPPO Enco Air3 Pro เป็นหูฟังที่มีคุณสมบัติดีๆ ใส่มาครบถ้วน ติดตั้งไดรเวอร์ไดนามิคขนาดใหญ่ 12.4mm. เป็นหูฟังที่รองรับเสียงความละเอียดสูงแบบไร้สาย รองรับทั้ง AAC. SBC และโปรโตคอล LDAC Hi-Res Audio สูงสุด 990kbps

และระบบตัดเสียงรบกวนรอบข้าง Deep Noise Cancellation 49 dB ที่สามารถปรับระดับความเข้มข้นในการตัดเสียงได้หลายระดับ รวมถึงเปิดรับเสียงรอบข้างเพื่อใช้สื่อสารกับคนอื่นได้โดยที่ไม่ต้องถอดหูฟัง และตัวหูฟังยังสามารถทำงานได้ฉลาด สามารถปรับระดับการตัดเสียงรบกวนได้เองโดยอัตโนมัติจากการตรวจจับสภาพแวดล้อม

ตัวไมค์รับเสียงก็สามารถตัดเสียงรบกวนจากลมและสภาพแวดล้อมได้ด้วยเช่นกัน อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเสียงดังก็ยังสนทนาสายได้ชัดเจนอยู่ครับ

การเชื่อมต่อประหยัดพลังงานขั้นสุดเพราะใช้การเชื่อมต่อด้วยสัญญาณเทคโนโลยีใหม่ Bluetooth 5.3 (สมาร์ตโฟน OPPO Reno10 Series 5G ก็รองรับสัญญาณ Bluetooth 5.3 เหมาะกับการนำมาใช้ร่วมกัน)

ความหน่วงเสียงต่ำสุดแค่ 47ms ระยะรับส่งสัญญาณดี และมีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ยาวนานถึง 7 ชั่วโมง โดยรวมกับเคสชาร์จจะใช้งานได้นานถึง 30 ชั่วโมง

สามารถควบคุมการทำงานของตัวหูฟัง ควบคุมการสั่งงานของแป้นสัมผัส และอัปเดตเฟิร์มแวร์ต่างๆ ได้ผ่านสมาร์ตโฟน แค่เพียงเปิดฝาเคส ตัวหูฟังก็พร้อมเชื่อมต่อได้ทันที รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สองเครื่องพร้อมกัน สลับไปมาได้เองตามการเล่นเสียงไม่ต้องตัดการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์เครื่องหนึ่งก่อนเพื่อเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง

ในเรื่องของคุณภาพเสียง เสียงมีพลังและเนื้อเสียงสุดยอดมาก มีความแน่น แต่นิ่มนวล ระบบเปิดให้ผู้ใช้ได้ปรับแต่งเสียงได้เองหลากหลายฟังก์ชั่น เช่นการปรับ EQ ที่สามารถมอบเสียงที่เป็นไปตามต้นฉบับ หรือการเพิ่มพลังให้กับเสียงเบส หรือสร้างโทนเสียงที่เป็นธรรมชาติซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาให้สอดรับกับลักษณะพิเศษของไดอะแฟรมไม้ไผ่ที่ใช้ใน OPPO Enco Air3 Pro โดยเฉพาะครับ

OPPO Enco Air3 Pro ยังมีการใส่ฟีเจอร์ที่สร้างเอฟเฟกต์เสียงรอบทิศทาง OPPO Alive Audio ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำให้เสียงแผ่ขยายออกมาหลากหลายทิศทาง ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของผู้สวมใส่ สร้างความรู้สึกเสียงรอบทิศทางที่แตกต่างจากมาตรฐานสเตอริโอซ้ายขวาแบบปกติอย่างมาก

OPPO ยังได้พัฒนาฟังก์ชั่น Golden Sound 2.0 ที่จะช่วยทดสอบเพื่อเลือกรูปแบบเสียงที่มีความเหมาะสมกับช่องหูของคุณโดยเฉพาะ เป็นการปรับละเอียดแบบรายบุคคล

OPPO Enco Air3 Pro จะสามารถใช้งานได้ดีกับสมาร์ทโฟนของ OPPO ด้วยการเชื่อมต่อที่เข้าถึงได้ครบทุกฟังก์ชั่น ทั้งยังสามารถใช้ได้ดีกับโทรศัพท์มือถือของ OnePlus ด้วยเช่นกันครับ

OPPO Enco Air3 Pro เปิดจำหน่ายมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว และสีเขียว ในราคา 2,999 บาท ที่ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

 

แชร์
Avatar photo

ในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจ มันก็ยังมีระดับความลึกของความเข้าใจที่แตกต่างกัน ลึกบ้าง บางบ้าง แต่ประโยชน์ในการส่งผ่านสิ่งที่รู้ออกไปให้กับผู้อื่นนั้นไม่ต่างกัน มีประถม มีมัธยม มีอุดมศึกษา ไม่มีใครเริ่มต้นเรียนรู้จากในระดับปริญญา ฉะนั้นจะมากจะน้อยเชื่อเถอะว่า ความรู้ของทุกคนมีประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้ เท่าๆ กัน

Advertisement
Exit mobile version