Advertisement

สมาร์ทโฟนที่โชว์การพัฒนาในระดับสุดยอดอีกหนึ่งรุ่นครับ สำหรับการอัพเดทเทคโนโลยีชุดใหญ่ที่ OPPO ใส่เข้ามาให้ R17 Pro ตัวนี้

เรียกว่ากระโดดเด้งมาจากรุ่นก่อนหน้าชัดเจนเหลือเกิน โดยเฉพาะในด้านของ “กล้อง” และเทคโนโลยี “การชาร์จเร็ว” จริงๆ ถ้าจะยกประเด็นหลักที่เป็นจุดขายของ OPPO R17 Pro ที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดแบบชัดเจน ก็เป็นสองเรื่องนี้แหละครับ แถมเป็นเรื่องที่สำคัญมากทั้งสองเรื่องเลยด้วย

Advertisement

อย่างที่รู้กัน OPPO R17 Pro เป็นสมาร์ทโฟนกล้องหลังสามตัวเครื่องแรกของทาง OPPO แต่มันพิเศษตรงกล้องหลังของมันนั้นไม่เหมือนกับใครเลยครับ มันเป็นเทคโนโลยีใหม่แกะกล่องที่เรียกว่าระบบ TOF (Time of flight) หรือจะอธิบายง่ายๆ ก็คือกล้องที่ยิงกำแพงแสงออกไป เพื่อใช้แผ่นแสงนั้นตรวจจับวัตถุด้านหน้าได้แบบ 3D โดยไม่สนใจต่อสภาพความมืดหรือสว่างในขณะนั้นๆ มืดแค่ไหนมันจับได้หมด

เมื่อกล้องมันตรวจจับสิ่งที่ถ่ายได้แบบรู้ตื้น,ลึก,หนา,บาง แล้ว มันก็คือต้นทุนข้อมูลการประมวลผลของกล้องที่ได้เปรียบเทคโนโลยีชาวบ้านเขานั้นละครับ

เมื่อประกอบกับซอฟท์แวร์กล้องตัวใหม่ของ OPPO ก็อย่างที่เห็น ผลลัพท์แจ่มแมวมาก โดยเฉพาะการถ่ายภาพในโหมดกลางคืนที่แชร์กันเต็มฟีดเฟสบุ๊คในขณะนี้

แต่นั้นเป็นเรื่องการใช้งานภายในที่ผมจะมีรูปตัวอย่างจากกล้องของมันมาให้ดูกันท้ายบทความ ตอนนี้มาดูความโดดเด่นจากตัวเครื่องภายนอกกันก่อนครับ

 

OPPO R17 Pro เป็นเครื่องที่ภายนอกโคตรจะเด่นเลยครับ กล้าใช้กล้าดีไซด์กับแนวสี Radiant Mist เป็นการชนกันระหว่างสีม่วงปะทะสีน้ำเงิน บรรจบกันกลางเครื่องเป็นเหลือบเงารูปตัว S มันเหมือนมาจากสีของขอบฟ้าแสงเหนือ แค่ที่มาก็บรรเจิดแล้ว

 

ตัวเครื่องให้ผิวสัมผัสที่แปลกมาก เหมือนมองผ่านม่านควัน ผมไม่เคยเจอ มันออกด้านนิดๆ เงาหน่อยๆ ดูเหล็กๆ รู้สึกเย็นๆ ยิ่งลูบยิ่งเพลินครับ แถมผิวสัมผัสนี้เกิดรอยนิ้วมือยากด้วย ใครขี้เกียจเช็คคราบนิ้วบนเครื่องบ่อยๆ บอกเลยว่า “ใช่” วันหลังขอวัสดุแบบนี้อีกครับ OPPO ผมรู้สึกว่ามันพิเศษมาก

ด้วยสีและพื้นผิว ถือใช้แล้วจะแยงตาชาวบ้านดีนักแล ความเด่น +10 คะแนนครับ ^^

หน้าจอแสดงผลของรุ่นนี้อัตราส่วน 19.5:9 สุดขอบ เหลือเม็ดติ่งใส่กล้องเอาไว้ด้านบนนิดเดียว เขาเรียกจอแบบนี้ว่า Waterdrop screen หรือจอหยดน้ำนั้นเอง จากรูปทรงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากน้ำหยด ทำให้พื้นที่ด้านหน้าตัวเครื่องแทบจะเป็นหน้าจอหมดแล้วครับ กว่า 91.5% เครื่องแค่นี้ แต่หน้าจอล่อไป 6.4 นิ้วเลยทีเดียว ความละเอียด FHD+ สีสันดีครับ ใช้งานเล่นเกม ดูหนัง ดูภาพ อ่านหนังสือ ชัดเจนเต็มตา

กระจกจอใช้รุ่นใหม่ไฮโซตัวล่าสุด Corning Gorilla Glass 6 ทนทานมากกว่ารุ่นเดิมขึ้นถึงสองเท่า และนี่ยังเป็นครั้งแรกของ OPPO ที่เป็นเครื่องซึ่งสามารถสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอได้โดยตรงด้วยนะครับ กดนิ้วลงไปเลยตรงตำแหน่งที่เขาระบุไว้ สแกนนิ้วเข้าใช้งานได้ไวและแม่นมาก

หรือจะสแกนหน้าก็ได้ครับ และสแกนได้แม้ในที่มืดสนิท เช่นใช้เปิดแอบถ่ายในโรงหนัง หรือมุมตึกเวลาดักปล้นคนตอนดึกๆ ไม่มีปัญหาครับ ไม่สะดุดขณะทำงานในที่มืดลับตาคน ^^

รองรับสองซิมการ์ดแบบ Dual 4G มี NFC มี Bluetooth 5.0 และ WiFi 5.0Ghz รวมถึง VoLTE และ VoWIFI ครบครับด้านการเชื่อมต่อไร้สาย

พอร์ตชาร์จใต้เครื่องแบบ USB type C เจ้าพอร์ตนี้แหละครับตัวเด็ดของรุ่น เพราะว่า OPPO R17 Pro เป็นเครื่องรุ่นที่สองของจักรวาล ที่รองรับการชาร์จไฟในระบบ SuperVOOC Flash Charge ระบบการชาร์จแบตมือถือที่เร็วที่สุดในโลก (ดาวอื่นยังไม่ส่งข้อมูลมาเปรียบเทียบ) สามารถชาร์จไฟ 40% ได้ในเวลาแค่ 10 นาทีครับ!

10 นาที แบตกลับมาเกือบครึ่งก้อน! แต่อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพราะผมจับทดสอบเลยครับ เสียบไฟไป 10 นาที ปรากฏว่า…..โกหกกันชัดๆ ครับ เพราะมันได้เกิน 40% ซะงั้น!

ในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เวลาผมเอา OPPO R17 Pro ไปทริปต่างที่ต่างทาง แถบไม่ห่วงเรื่องแบตเลยครับ เพราะต่อให้ลืม ผมเสียบชาร์จก่อนเข้าไปอาบน้ำ ออกมาแบตเกือบเต็ม! ไม่ใช่อาบน้ำนานนะ 555 แต่มันจะชาร์จไวไปไหนครับเพ่ – –

แถมในช่วงการทดสอบใช้ ผมพยายามเปิดเกมในหน้าจอแบบสว่างสุด ทำอะไรมันไม่ได้เลยครับ ชาร์จโคตรไวอยู่เหมือนเดิม
แถมเปิดแสงจอขนาดนี้ เปิดเกมเน้นกราฟิกขนาดนี้ ชาร์จไวขนาดนี้ ความร้อนของเครื่องแทบไม่มีให้รู้สึกแตกต่างไปมากอะไรนัก ต้องบอกว่าพัฒนามาได้สมบูรณ์แบบครับ เอารางวัลไปเลยสำหรับเจ้าระบบ SuperVOOC Flash Charge

ซึ่งผมอยากจะบอกความลับให้สำหรับคนยังไม่รู้ ว่าทำไม SuperVOOC Flash Charge ถึงชาร์จไวได้ขนาดนี้ อธิบายง่ายๆ มันก็คือเทคนิคการใช้ Bi-Cell ที่เป็นเซลแบตเตอรี่ภายในแบบ 2 เซลนั้นเอง

วิธีเร่งให้แบตสามารถรับไฟได้เร็วขึ้นมากเป็นเท่าทวี ก็คือการเพิ่มช่องการรับไฟให้มากขึ้น ยิงไฟเข้าจากปลั๊กชาร์จ 10V 5A แล้วก็ไปแบ่งไฟวิ่งไปยังเซลแบตสองเซล เซลละ 5V เร็วขึ้นสบายใจ แถมปลอดภัยในระดับ VOOC Flash Charge เช่นเดิม

ฟังเหมือนง่ายเนอะครับ 555 แต่จริงๆ ยังมีเรื่องของเชิงเทคนิคอีกเพียบบบบบบ

อุปกรณ์ภายในกล่องให้มาครบ ทั้งเคสใส กระจกกันรอยแปะมาให้ ที่ชาร์จและสายชาร์จซึ่งรองรับ SuperVOOC Flash Charge และหูฟังซึ่งเป็นแบบพอร์ต  USB Type C

การใช้งานภายใน

ใช้ Color UI ใหม่ล่าสุด V5.2 ครอบทับ Android 8.1 ผสมผสานการจัดสรรระบบและพลังงานด้วยความฉลาดของ AI ที่มีอยู่ในหน่วยประมวลผลตัวใหม่ Snapdragon 710

มีฟังก์ชั่นใหม่ใส่เข้ามา เช่นฟังก์ชั่น “Smart Bar” เป็นชุดคำสั่งด่วนที่เราสามารถเรียกใช้ได้ทันที บนหน้าแอปพลิเคชั่นทุกแอปรวมถึงหน้าเล่นเกม ซึ่งเราสามารถกดบันทึกภาพเหน้าจอไว้เป็นไฟล์วีดีโอได้ด้วยนะครับ

Gamespace ซึ่งเป็นระบบฟังก์ชั่นเกมที่สำคัญกับคนเล่นเกมมากครับ เพราะว่ามันทำหน้าที่ปรับแต่งเครื่องเพื่อให้เหมาะสมกับการเล่นเกม เช่นปิดกั้นการแจ้งเตือนในขณะเล่นเกม

การปรับแต่งการแจ้งเตือนให้เป็นรูปแบบของ ป๊อบ-อัพ ไม่รบกวนหรือหลุดออกจากตัวเกมครับ สามารถเร่งประสิทธิภาพเครื่องทั้งด้านการประมวลผล ด้านเน็ตเวิร์ค และปิดการปรับแสงหน้าจอโดยอัตโนมัติขณะเล่นเกม

อย่างที่บอก OPPO R17 Pro ใช้หน่วยประมวลผลตัวใหม่ที่มี AI ครับ Snapdragon 710 ประสิทธิภาพนับเป็นตัวรองท็อปของปี 2018 จาก Qualcomm จากที่ทดสอบมันสามารถเล่นเกมระดับกราฟิกสูงๆ ได้ลื่นเลยครับ PUBG เล่นสบาย เป็น ใช้งานแอปพลิเคชั่น ได้ทุกแอปทุกอย่าง ฉะนั้นถ้าจะเล่นเกม ทุกเกมผมแนะนำให้ปรับกราฟิกให้สูงสุดไปได้เลยเพราะหน่วยประมวลผลแบรนด์นี้ เข้ากันกับระบบ Android ได้มากที่สุดแล้วครับ

แถมมีแรมมาให้มโหฬาร 8 GB นับว่าเกินจะพอสำหรับการเล่นเกมและการสลับแอพใช้งานไปๆ มาๆ ลองใช้ฟังก์ชั่น App Split -screen หรือการใช้งานสองแอพพร้อมกัน สบายครับ เพราะแรมเยอะมาก

พูดถึงหน่วยความจำภายในของ R17 Pro ก็มีมาให้ 128 GB เลยครับ สเปคโดยรวมแล้วของ OPPO R17 Pro นับเป็นตัวตลาดบนของ OPPO อีกหนึ่งรุ่น

กล้องถ่ายภาพ

ที่เกริ่นกันมายาวนาน ยังไม่ใช่ไฮไลด์เด็ดสุดของ OPPO R17 Pro เลยนะครับ เพราะว่าเรายังไม่ได้พูดถึง “กล้อง” ของ OPPO R17 Pro กันเลย

กล้อง OPPO R17 Pro เก่งกาจมาก ผมขอเรียกว่าระดับอัศจรรย์เลยละ ด้วยซอฟท์แวร์และเทคโนโลยีใหม่ของเขาที่เรียกว่า TOF (Time Of Flight) มันสุดยอดจริงๆ ครับ ระบบการยิงแผ่นแสงออกไปจับลักษณะสิ่งที่จะถ่ายเพื่อประมวลผลเป็น 3D ซึ่งจุดเด็ดอยู่ที่ระบบนี้ มันจับวัตถุได้ทุกสภาพแสงด้วยนะสิครับ

และด้วยโหมดถ่ายภาพกลางคือ Ultra Night Mode บวกกับรูรับแสง f1.5 และขนาดพิกเซล 1.4μm มีระบบกันสั่นออปติคอล OIS 3 Axis และ AI Ultra Clear Engine รวมกับเทคโนโลยี TOF

ทำให้ภาพกลางคืนของ OPPO R17 Pro ยอดเยี่ยมสุดๆ ครับ

ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้ เป็นการเดินถือถ่ายโดยไม่ใช้ขาตั้งกล้อง ต้องบอกว่า แม้แต่กล้องโปรก็ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ นะครับ เพราะมันไม่มีซอฟท์แวร์และเทคโนโลยีที่สมาร์ทโฟนสมัยนี้มันใช้กัน

แถมไม่ใช่แค่การถ่ายภาพวิวเท่านั้นที่ทำได้ดี แม้ในที่มืด OPPO R17 Pro ก็ถ่ายภาพคนได้ยอดเยี่ยมด้วยครับ เพราะว่ามันจับตำแหน่งของบุคคลในภาพได้ ฉะนั้น ถ่ายคนกลางคืนไม่ต้องเปิดแฟลช ภาพสวยกิ๊กครับ

ขอบคุณนายแบบ คุณ Patr จาก Droidsans ^^

 

จะพูดว่ามันถ่ายภาพกลางคืนดี ก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับภาพกลางวันครับ เพราะว่าภาพกลางวันก็ระดับท็อปด้วยเช่นกัน OPPO R17 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้กล้องแบบรูรับแสงคู่อัจฉริยะ F2.4 และ F1.5 มันจะเปลี่ยนขนาดของรูรับแสงให้เราเองโดยอัตโนมัติเมื่อวิเคราะห์จากสภาพแสงในขณะนั้น โดยที่ผู้ถ่ายไม่ต้องเข้าใจการใช้งานกล้องแต่อย่างใด

แค่หยิบขึ้นแล้วก็ถ่ายภาพ หวังผลลัพท์ภาพที่ดีได้เลยครับ ทั้งกลางวันและกลางคืน สำหรับ OPPO R17 Pro

เมื่อมันมีระบบ TOF เขามาช่วยในการระบุวัตถุที่กำลังถ่ายได้ในระดับ 3D สิ่งที่ตามมาก็คือการรับรู้ทรวดทรง ฉะนั้นการตัดขอบวัตถุก็จะแม่นยำมาก

ทดสอบถ่ายภาพโหมดบุคคล ในพื้นหลังแบบรกๆ กล้องพี่แกตัดฉากหลังหายเกลี้ยงเลย สุดยอดครับ

ผลจากการตัดพื้นหลังภาพด้านบนด้วยเอฟเฟ็กต์ที่เครื่องมี อย่างกับตัดฉากทิ้งด้วยโฟโต้ช้อป

อย่าพึ่งอึ่งแต่เพียงกล้องหลังครับ อย่าลืมว่านี่คือสมาร์ทโฟนจาก “OPPO” ฉะนั้นกล้องหน้าก็สุดติ่งกระดิ่งแมวเช่นกัน แถมความละเอียดสูงลิ่ว 25MP ที่พร้อมเทคโนโลยี AI Beauty

พร้อมเซ็นเซอร์ HDR สาหรับการเซลฟี่ในที่แสงจ้า ย้อนแสง หรือจะแสงน้อยในอาคาร มันรับได้หมดครับ ^^

สรุปท้ายรีวิว

ต้องยอมรับเลยครับว่า OPPO R17 Pro คือมือถือล้ำยุคด้านเทคโนโลยีของจริง แถมเป็นเทคโนโลยีในเรื่องที่จำเป็นต่อการใช้งานมากด้วย ทั้งเรื่องการชาร์จแบต และเรื่องของกล้อง ยอดเยี่ยมมากครับ

ประสิทธิภาพการใช้งานก็ไม่เป็นรอง การออกแบบตัวเครื่องภายนอกก็ยังสวยอีกด้วย ครบเครื่องสุดๆ เป็นรุ่นที่แนะนำว่าถ้า ชอบตัดสินใจซื้อได้เลย

แชร์
Avatar photo

ในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจ มันก็ยังมีระดับความลึกของความเข้าใจที่แตกต่างกัน ลึกบ้าง บางบ้าง แต่ประโยชน์ในการส่งผ่านสิ่งที่รู้ออกไปให้กับผู้อื่นนั้นไม่ต่างกัน มีประถม มีมัธยม มีอุดมศึกษา ไม่มีใครเริ่มต้นเรียนรู้จากในระดับปริญญา ฉะนั้นจะมากจะน้อยเชื่อเถอะว่า ความรู้ของทุกคนมีประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้ เท่าๆ กัน

Advertisement
Exit mobile version