Advertisement

HyperX Cloud II Wireless งานออกแบบและกลิ่นอายของ HyperX Cloud II หูฟังเกมมิ่งตัวที่ได้รับความนิยมที่สุด ตอนนี้มาในรุ่นพัฒนากับการใช้สัญญาณแบบไร้สายแล้วครับ

HyperX Cloud II Wireless ยังคงคอนเซปในเรื่องของความเบาและความสบายในการสวมใส่ครับ

Advertisement

น้ำหนักรวมไมค์อยู่ที่ 309 กรัมเท่านั้นเอง ถือว่าเบาสุดในกลุ่มระดับตลาดเดียวกัน และยังใช้งานออกแบบ Signature HyperX Comfort ผิววัสดุในส่วนสัมผัสไม่เหนียวไม่ระคาย ใช้ที่ครอบหู Memory Foam หุ้มผิวสัมผัสหนัง แกนหูฟังเป็นแกนโลหะน้ำหนักเบา ยืดหยุ่นได้เคลือบผิวด้วยสีแดง HyperX

ดำสลับแดงตลอดทั้งตัว ด้ายแดงเย็บเก็บขอบส่วนที่คาดศีรษะ ด้านบนเป็นหนังเทียมปั้มตรา HyperX สวยงามครับ ฝาหูฟังซ้ายขวาสกรีนโลโก้เป็นผิวโลหะทั้งคู่

ปุ่มควบคุมบนตัวหูฟังครบจบในตัวเอง แม้ว่าปกรณ์ของ HyperX จะสามารถเซ็ตค่าต่างๆ ผ่านโปรแกรม NGENUITY Software ได้ทั้งหมด แต่เจ้าตัวนี้ก็ควบคุมจบด้วยตัวมันเองได้เช่นกัน โดยมีปุ่มหมุนปรับระดับเสียง ปุ่มเปิดปิดตัวหูฟังพร้อมไฟแจ้งสถานะการทำงาน และใช้เป็นปุ่มเปิดปิดการทำงานของระบบเสียง 7.1 Surround ในตัวด้วย และก็มีปุ่มสำหรับเปิดปิดไมค์โครโฟนโดยตรง

มีพอร์ทชาร์จในแบบ USB Type C พร้อมสายที่แถมมาให้แบบสั้นๆ ครับ เพราะสายมีเอาไว้เพื่อชาร์จไฟเพียงอย่างเดียว การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อย่าง PC, Notebook หรือเครื่องเกมอย่าง Nintendo Switch หรือ PlayStation จะใช้ตัว USB Dongle 2.4GHz Wireless เป็นตัวรับส่งสัญญาณเสียงแบบไร้สายเพียงเท่านั้นครับ

นำ USB Dongle 2.4GHz Wireless ไปเสียบกับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งาน จะมีไฟแจ้งสถานะการทำงานอยู่บนตัว USB จากที่ทดสอบสัญญาณเสียงของรุ่นนี้การันตีเกรด Lag-Free ครับ เสียงที่มาถึงหูฟังปราศจากความล่าช้า ใช้งานเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง เสียงซิงก์เป๊ะกับภาพพอดี ระยะการเชื่อมต่อสามารถเดินไปได้ไกลได้ถึงประมาณ 15 เมตรเสียงถึงจะเริ่มมีอาการให้ได้ยิน อิสระมากครับเวลาใช้งานหูฟังไร้สาย เดินไปไหนมาไหนก็ยังได้

เมื่อวาง Earpads แนบใบหูแล้วโลกจะเงียบ ไม่ใช่เงียบด้วยซอฟท์แวร์ ANC แต่เงียบเพราะความพอดีจาดเนื้อวัสดุและการออกแบบ ที่เก็บเสียงได้ดีจนเหมือนเปิดระบบตัดเสียงรบกวน บวกกับน้ำหนักที่เบา ก้านหูฟังที่ไม่แข็งเกินไป และบุภายใน Earpads ด้วย Memory Foam ทั้งหมดคือการออกแบบเฉพาะของ Signature HyperX Comfort ความสบายของผู้สวมใส่ของรุ่นนี้ผมให้คะแนน 10/10 ครับ

HyperX Cloud II Wireless ยังเรียกได้ว่าเป็นหูฟังที่ให้ไดรเวอร์ใหญ่เป็นตัวท็อปของกลุ่มตลาด

ขณะที่บางเจ้าให้ไดร์เวอร์ขนาด 40mm หรือใหญ่หน่อยก็ 50mm แต่สำหรับรุ่นนี้ใช้ไดรเวอร์ 53mm ใหญ่กว่า พลังเสียงมาเต็มกว่าแบบที่ไม่อึดอัด ซึ่งในเกรดหูฟังราคานี้ผมว่าเราควรได้เสียงในระดับที่คาดหวังได้ เสียงฉากแอคชั่นหรือจังหวะกระชากอารมณ์ของเกมรุ่นนี้ให้เสียงที่เต็มอารมณ์แน่นอนครับ

หรือถ้านำไปใช้ฟังเพลง อยากโยกกับ EDM ในระดับ Volume MAX 100! เจ้าตัวนี้พาคุณลอยได้แน่นอน ผมรับประกัน ^^ (ผมก็กำลังใช้มันเพื่อลอยไป รีวิวไป 555 ) ลองซัดกับซาวด์เพลง Tsunami (บอร์เจียส) เอาอยู่ทุกร่องเสียง ทุกซาวด์ เก็บหมดแบบไม่ต้องพยายาม

และยังรองรับระบบ HyperX 7.1 Surround Sound ระบบเสียงรอบทิศทาง นำไปใช้กับภาพยนตร์ คลิปวีดีโอ หรือเกมที่รองรับระบบเสียง 7.1 ได้ทั้งหมดครับ จะเป็นการเพิ่มมิติเสียงจากแค่สเตอริโอซ้ายขวา กลายเป็น 7 ทิศทางเสียง ผมทดสอบเปิดปิดและฟังมิติเสียงได้มิติชัดเจนครับ (สามารถเปิดและปิด 7.1 Surround ได้จากการกดปุ่มพาวเวอร์หนึ่งครั้ง)

 

การฟังเพลงในระบบสเตอริโอและแบบ Surround อาจจะเรียกว่าให้อารมณ์คนและแบบ สามารถเลือกได้ตามรสนิยมความชอบนะครับ บางคนชอบฟังเพลงในแบบสเตอริโอแต่บางคนก็ชอบฟังเพลงในเสียงแบบเซอร์ราวด์ ถ้าเป็นเรื่องเพลงผมว่าแล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล แต่ถ้าเป็นภาพยนตร์หรือการเล่นเกมอันนี้คือปิดไม่ได้เลยนะครับ ความมันของการรับฟังเสียงเหมือนคนละเรื่อง ^^ ผมขอร้องกัน อย่าใช้ระบบเสียงสเตอริโอกับการดูหนังหรือเล่นเกม ถ้าหูฟังของเรารองรับระบบเสียง 7.1 ถือว่าขอ 555

ในกล่องจะมีไมค์สำหรับเชื่อมต่อกับชุดหูฟังมาให้ เป็นไมค์แบบสองทิศทาง ใหญ่กว่าทั่วไปมาในขนาด 6mm  ไมค์แบบสองทิศทางมีข้อดีคือคุณจะหันหัวไมค์มาทางไหนก็ได้ ไม่ต้องหมุนหาด้านรับเสียงเหมือนหัวไมค์ทิศทางเดียว ภายในกล่องจะมาพร้อมฟองน้ำกันลมหุ้มหัวไมค์ จะบอกว่าแค่จับฟองน้ำหุ้มหัวไมค์ก็มีคุณภาพแล้ว 555 ฟองน้ำหนาแน่นมากครับ

ตัวไมค์จะมีไฟ LED แจ้งสถานะการทำงานให้เราได้มองเห็นได้ง่ายๆ   เมื่อเรากดปิดการใช้งานไมค์ ไฟ LED สีแดงจะติดขึ้นมาเพื่อให้เราทราบว่าไมค์กำลังถูกปิดอยู่ เราสามารถกดเปิดปิดไมค์ได้บนปุ่มเฉพาะบนตัวหูฟังครับ ออกแบบปุ่มมาดี ให้เราคลำๆ เอาก็จะเจอได้ เพราะเขาทำปุ่มไมค์มาแบบยื่นนูน แต่ปุ่มพาวเวอร์จะเป็นแบบเว้าโค้งเข้าไป

ที่ครอบหูเงียบๆ มีสมาธิ มีไมค์รับเสียงที่โอเค เอามาใช้เรียนหรือทำงานในแบบออนไลน์ ผมว่าก็เหมาะเช่นกัน และแบตเตอรี่มันก็อึดมากครับไม่ต้องชาร์จบ่อย ผมเปิดต่อเนื่องแบบฟลูฟังก์ชั่น ในระดับเสียงเกือบเต็มร้อย มันก็ยังใช้แบตไปแค่ประมาณชั่วโมงละ 3% เท่านั้นเอง

แต่อย่างไรแม้จะสามารถทำงานได้บนตัวมันเองแทบทั้งหมด แต่เราก็ควรจะติดตั้งโปรแกรม NGENUITY Software มาใช้งานบนอุปกรณ์ Windows นะครับ เพราะภายในโปรแกรมจะทำให้เราสามารถมอนิเตอร์การทำงานของหูฟังได้ บอกระดับแบตเตอรี่ให้เราทราบ และใช้เซ็ตค่าบางอย่างที่ต้องทำผ่านโปรแกรมเท่านั้น อย่างเช่นตั้งเวลาให้หูฟังทำการปิดตัวเองอัตโนมัติเพื่อถนอมแบต เมื่อเราไม่ได้ใช้งานสักระยะหนึ่ง เราตั้งค่าไว้ได้ครับว่าให้มันปิดตัวเองภายในกี่นาที

การเปิดปิดฟังก์ชั่น MIC MONITORING ก็สามารถทำได้ในตัวโปรแกรม มันคือคำสั่งเปิดปิดการรับเสียงพูดของเราเอง และให้เสียงรอบตัวสามารถผ่านไมค์เข้ามายังหูฟังของเราได้มากขึ้น เพราะบางคนชอบได้ยินเสียงตัวเองไปด้วยนั้นเองครับ และจะบอกว่าฟีเจอร์ Lag-Free ก็ยังเห็นผลในเรื่องของการได้ยินเสียงพูดตัวเองตรงนี้ด้วย เสียงจากไมค์มาสู่หูฟังของเราเป็นแบบเรียลไทม์มากๆ ไม่แลค ไม่หลอน ไม่สะท้อนเสียงตัวเองแม้จะเป็นระบบรับส่งเสียงกับอุปกรณ์แบบไร้สาย

สรุปท้ายรีวิว

ใส่ได้นาน ใส่สบาย ไม่ต้องมีสายให้เกะกะ ควบคุมง่ายผ่านบนตัวหูฟังได้หมด เสียงดีมีระบบ 7.1 Surround และแบตเตอรี่อึด ผมให้หูฟังตัวนี้ครบเครื่องมากครับ ใช้งานง่ายและจบในตัวเอง

HyperX Cloud II Wireless จะเปิดจำหน่ายในไทยช่วงกลางเดือนทีนาคม ราคาจำหน่ายเปิดตัวจะอยู่ที่ประมาณ 149$ ถือว่าราคาดีสำหรับหูฟังไร้สาย 7.1 Surround โดยเฉพาะให้คุณภาพการใช้งานในระดับนี้นะครับ ใช้ใส่เรียน เล่น ทำงาน ดูหนังฟังเพลง เหมาะสมได้หมด เป็นหูฟังประจำตัวที่ดีได้แน่นอน

แชร์
Avatar photo

ในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจ มันก็ยังมีระดับความลึกของความเข้าใจที่แตกต่างกัน ลึกบ้าง บางบ้าง แต่ประโยชน์ในการส่งผ่านสิ่งที่รู้ออกไปให้กับผู้อื่นนั้นไม่ต่างกัน มีประถม มีมัธยม มีอุดมศึกษา ไม่มีใครเริ่มต้นเรียนรู้จากในระดับปริญญา ฉะนั้นจะมากจะน้อยเชื่อเถอะว่า ความรู้ของทุกคนมีประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้ เท่าๆ กัน

Advertisement
Exit mobile version