วันเสาร์, พฤษภาคม 4
Advertisement

อย่างที่เราทราบกันดีว่า หลังจากที่นาย Steve Jobs ได้กลับเข้ามาในบริษัท Apple อีกครั้ง เขาได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในบริษัท และนั่นก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าเหลือเชื่อทีเดียวครับ เพราะในการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นทำให้บริษัทอย่าง Apple ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว

แต่ทว่าก่อนที่ Apple จะพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในครั้งนี้ บริษัท Apple เกิดจากการรวมตัวของคนเพียง 3 คน ที่ใช้โรงรถใน Los Altos, California เป็นออฟฟิศเท่านั้น

Advertisement

ต่อจากนั้น Apple ยังต้องดิ้นรนต่อสู้กับบริษัท IBM และความสำเร็จของ Microsoft ที่เกิดขึ้นราวกับอุกกาบาตที่ตกลงมาบนพื้นโลกที่ทำเอาสั่นสะเทือนไปทุกหัวระแหง การจะได้มาซึ่งความสำเร็จของ Apple นั้น นับเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยครับ ดังนั้นวันนี้เราจะลองย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของ Apple กันครับ ว่าก่อนที่จะมาเป็น Apple ในวันนี้ Apple ต้องผ่านและพบเจอกับอะไรมาบ้าง พร้อมแล้วก็ไปกันเลยครับกับ 32 ภาพความทรงจำของ Apple ที่จะมาพร้อมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

Apple ถูกก่อตั้งขึ้นโดยนาย Steve Jobs และ Steve Wozniak ใน Los Altos, California เมื่อวันที่ 1 เมษยน ปี 1976

apple-was-cofounded-on-april-1-1976-by-steve-jobs-and-steve-wozniak-in-los-altos-california

และจากนั้นก็มีผู้ร่วมก่อตั้งอีกหนึ่งคนคือ นาย Ronald Wayne ที่ได้รับการชักชวนจากนาย Steve Jobs ให้เข้ามาอยู่ในตำแหน่งคณะกรรมการของบริษัท โดยมีหน้าที่คอยแนะนำหนุ่มน้อยทั้ง 2 นั่นเองครับ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจลาออกจากบริษัทไปก่อนที่บริษัทจะเปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการเสียด้วยซ้ำ โดยเขาได้รับเช็คเป็นเงินทั้งหมด 800$ สำหรับหุ้นของเขาครับ

 2

และนี่เป็นภาพที่นาย Wayne ได้สเก็ตขึ้นด้วยมือสำหรับเป็นโลโก้ของบริษัท Apple

3

ออฟฟิศของ Apple เกิดขึ้นครั้งแรกที่โรงรถของบ้านหลังนี้ แทบไม่น่าเชื่อเลยครับว่าจากจุดเล็กๆจุดนี้จะกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้ในปัจจุบัน

apples-first-offices-was-the-garage-of-jobs-parents

และแล้วก็มาถึงผลิตภัณฑ์ตัวแรกจากบริษัทมีชื่อว่า Apple I โดยส่วนประกอบของมันก็จะมี Motherboard , Processor และหน่วยความจำอีกนิดหน่อย ซึ่งประโยชน์ของมันมีไว้สำหรับมือสมัครเล่นเสียมากกว่า นอกจากนี้ผู้ที่ซื้อไปยังต้องไปสร้างเคส คีย์บอร์ด รวมทั้งใส่หน้าจอเองอีกด้วยนะครับ ทั้งนี้ Apple ได้ขายเครื่องนี้ในราคา 666.66$ ซึ่งถือเป็นราคาที่แพงมากนะครับ ยิ่งเป็นค่าเงินของตอนนั้นถือเป็นราคาที่สูงเอาเรื่องเลย แต่อย่างว่าแหละครับสมัยนั้นเทคโนโลยีไม่ได้จับต้องได้ง่ายเท่าสมัยนี้นั่นเองครับ

5

สำหรับ Apple I นั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นจากมือในทุกๆชิ้นส่วนและขั้นตอน ไม่ได้มีโรงงานเหมือนสมัยนี้ครับ จะเห็นได้จากภาพว่าเป็นการออกแบบโดยเขียนขึ้นจากมือทั้งหมด

66666

และแน่นอนว่าการจะขยายธุรกิจของ Personal Computer ให้สำเร็จได้นั้นจำเป็นต้องใช้เงินทุนค่อนข้างสูง ซึ่งนักลงทุนที่เปรียบเหมือนสวรรค์ส่งมาโปรดก็คือนาย Mike Markkula ที่เข้ามาร่วมลงทุนด้วยเงิน 250,000$ จากนั้นนาย Mike คนนี้ก็ได้เข้ามาทำงานกับ Apple อีกด้วยครับ โดยถือหุ้น 1 ใน 3 ของบริษัท

777777

หลังจากนั้นในปี 1977 Apple ก็ได้กลายเป็นบริษัทอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้นาย Markkula ได้เสนอชื่อนาย Michael Scott ให้เข้ามาเป็นประธานและ CEO ของบริษัท ด้วยเหตุผลที่ว่านาย Steve Jobs ในตอนนั้นยังมีวุฒิภาวะไม่เหมาะสม อีกทั้งยังไม่มีความรับผิดชอบเพียงพอที่จะขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทครับ

88888

นอกจากนี้ในปี 1977 Apple ก็ได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมาด้วยนั่นก็คือ Apple II ซึ่งถูกออกแบบขึ้นโดยนาย Wozniak ครับ ซึ่ง ณ ตอนนี้มันเริ่มจะมีหน้าตาเหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่เราคุ้นเคยมากขึ้นแล้ว

99999

และสิ่งที่มาพร้อมกับเจ้า Apple II ก็คือโปรแกรมที่มีชื่อว่า VisiCal ซึ่งถือเป็นซอฟท์แวร์ที่แหวกแนวมากๆในช่วงนั้น ซึ่งเจ้าซอฟท์แวร์ตัวนี้ทำให้เหล่าผู้ประกอบธุรกิจต่างๆเริ่มหันมาให้ความสนใจในอุปกรณ์ของ Apple ครับ

11

ในปี 1978 ในที่สุด Apple ก็เริ่มมีออฟฟิศจริงๆที่ไม่ใช่โรงรถอีกต่อไป อีกทั้งยังมีลูกจ้างประจำอีกด้วย ซึ่ง ณ เวลานั้นเหล่าพนักงานช่วงแรกๆของ Apple ก็ได้สัมผัสกับชื่อเสียงของนาย Jobs ที่ล่ำลือกันมานานว่าเป็นคนที่ทำงานด้วยยากอีกด้วยครับ

12

ภาพนี้เป็นภาพของแล็บ Xerox PARC แล็บที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้านความสำเร็จทางด้านเทคโนโลยีครับ ซึ่งไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีเลเซอร์ปริ๊นเตอร์ เมาส์ และ Ethernet networking ล้วนเกิดขึ้นที่นี่ โดยในปี 1979 วิศวกรของ Apple ได้รับอนุญาติให้เข้าไปเยี่ยมชมใน PARC Campus ได้ 3 วัน แต่มีข้อแลกเปลี่ยนที่ว่าทาง PARC จะสามารถซื้อหุ้น 100,000 หุ้นของ Apple ด้วยเงิน 10$ ต่อหุ้นครับ

34

Apple เปิดตัว Apple III ออกมาในปี 1980 โดยผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะโฟกัสไปที่การใช้คอมพิวเตอร์สำหรับธุรกิจครับ ซึ่งจุดประสงค์หลักของเครื่องนี้ก็เพื่อแข่งขันกับบริษัทอย่าง IBM และ Microsoft นั่นเอง

54

หลังจากนั้นทาง Xerox PARC ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับนาย Jobs ครับ ซึ่งจะบอกว่าเป็นการโน้มน้าวใจก็ไม่ผิดนักครับ ด้วยความเห็นที่ว่า ในอนาคตคอมพิวเตอร์ส่วนตัวจะต้องมีกราฟฟิกของหน้า UI ที่ดี ซึ่งก็เป็นไอเดียที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนี่แหละครับ

2224

ทั้งนี้ในปี 1983 Apple จึงได้ปล่อย PC เครื่องใหม่ออกมาโดยมีชื่อว่า Lisa ถึงแม่ว่าเครื่องนี้จะมีการพูดถึงอย่างมาก แต่ยอดขายต้องเรียกว่าหายนะเลยครับ สาเหตุมาจากราคาที่สูงมากๆ อีกทั้งซอฟท์แวร์ในเครื่องยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้อีกด้วย

หลังจากนั้นก็ตามมาด้วย Apple Macintosh ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมุ่งเน้นไปที่ความเป็นมิตรต่อผู้ใช้ที่สุด และแน่นอนว่ามันมาพร้อมกับการออกแบบ GUI ที่ดี แทบจะเป็นเหมือนในปัจจุบันนี้เลยครับ เพียงแต่หน้าจอจะยังเป็นขาวดำอยู่่ แต่อย่างไรก็ตามมันก็มาด้วยราคาที่ค่อนข้างแพงอยู่ดีครับ

6435

 

และราวๆช่วงการเปิดตัวของ Apple Macintosh บริษัทก็ได้ CEO คนใหม่มาด้วย นั่นก็คือนาย John Sculley โดยเข้ามาเป็น CEO ของ Apple ตั้งแต่ปี 1983 ครับ สำหรับนาย Sculley นั้นก่อนหน้านี้เขาเป็น CEO ให้กับบริษัท Pepsi ซึ่งถือเป็น CEO ที่มีอายุน้อยที่สุดที่ Pepsi เคยมีมาครับ แต่ด้วยคำชวนของ Jobs จึงทำให้เขาต้องยอมมาเป็น CEO ให้กับ Apple ครับ โดยประโยคที่นาย Jobs พูดกับนาย Sculley ยังคงเป็นตำนานเล่าขานกันมาถึงทุกวันนี้ครับ โดยนาย Jobs กล่าวว่า “Do you want to sell sugared water for the rest of your life? Or do you want to come with me and change the world?” โดยแปลเป็นไทยคร่าวๆว่า “คุณจะขายน้ำที่ใส่น้ำตาลพวกนั้นไปจนวาระสุดท้ายของชีวิตคุณ? หรือคุณจะมากับผมแล้วมาเปลี่ยนโลกด้วยกัน?”

64323

นอกจากนี้ในปี 1984 Apple ยังได้ผลิตโฆษณาโทรทัศน์ออกมาด้วยนะครับ โดยโฆษณาดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ระหว่างการแข่งขัน Super Bowl XVIII ในควอเตอร์ที่ 3 ทำให้บริษัทต้องจ่ายเงินทั้งหมด 1.5 ล้านเหรียญสำหรับโฆษณาตัวนี้ และจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นโฆษณาชิ้นนี้อีกเลย

Apple 1984 Super Bowl Commercial Introducing Macintosh Computer (HD)

ภาพความตึงเครียดระหว่าง Jobs และ Bill Gates ด้านล่างนี้ เป็นการพูดคุยกันในเรื่องของ GUI ครับ เพราะจริงๆแล้ว Apple จะให้ทาง Microsoft ผลิตซอฟท์แวร์ตัวนี้ให้ แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้วพบว่าทาง Microsoft ก็มีแผนที่จะผลิต GUI ของตัวเองออกมาเหมือนกัน ซึ่งมันก็มีชื่อเรียกที่คุ้นหูเราๆว่า Windows นั่นเองครับ

6543222

ถึงแม้ว่า Macintosh จะมียอดขายที่ดีหากเทียบกับรุ่นก่อนๆ แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถต่อกรกับ IBM ได้ และนั่นก็ทำให้เกิดแรงเสียดทานขึ้นอย่างมากกับ Jobs เพราะว่าเขาเป็นเจ้าของโปรเจคนี้ อีกทั้งเขายังมักจะทำอะไรตามใจตัวเอง ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดโดยไม่ค่อยสนใจใคร ซึ่งทำให้นาย Sculley ต้องเริ่มพยายามที่จะควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาในอนาคตให้มากขึ้น เพราะไม่อยากให้เป็นเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ Lisa อีก

234533

จนในที่สุดในปี 1985 นาย Jobs เริ่มไม่เห็นด้วยกับนาย Sculley และพยายามที่จะให้นาย Sculley ออกจากตำแหน่ง แต่กลายเป็นว่าบอร์ดผู้บริหารใน Apple ถือเสียงข้างนาย Sculley ไม่เห็นด้วยกับนาย Jobs จึงได้ทำการปลด Jobs ออกจากหน้าที่การบริหารในบริษัท และด้วยความโกรธที่เกิดขึ้นนาย Jobs จึงได้ออกจาก Apple และไปก่อตั้งบริษัท NeXT ขึ้น ซึ่งที่นี่ Jobs เป็นผู้ควบคุมบริหารทั้งหมดครับ

7879

นอกจากนั้นนาย Wozniak ก็ได้ออกจากบริษัท Apple เช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทกำลังเดินไปในทิศทางที่ผิด โดยเขาได้ทำการขายหุ้นส่วนใหญ่ของเขา แต่ไม่ใช่ทั้งหมดทิ้งครับ

58748395

หลังจากที่ Jobs ได้ออกจากบริษัทไปแล้ว นาย Sculley จึงได้เข้ามาจัดการดูแลทุกอย่างภายในบริษัท ในตอนแรกมีที่ท่าว่าจะไปได้สวยทีเดียว โดย Apple ได้ทำการเปิดตัว PowerBook Laptop และระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง System 7 ออกมาในปี 1991 ครับ ซึ่งเจ้า System 7 ตัวนี้เป็นระบบปฏิบัติการที่ทำให้ Macintosh เริ่มมีภาพสีเกิดขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงขาวดำ จากนั้นก็มีการอัพเดทเรื่อยมาจนมาถึง OS X ในปี 2001 ครับ

10

นอกจากนี้ในปี 1990 จะเห็นได้ว่า Apple เริ่มกระโดดเข้าไปแจมในหลายๆตลาดครับ แต่มันกลับไปได้ไม่สวยนัก ที่ดูจะมีชื่อเสียงที่สุดน่าจะเป็นความล้มเหลวของ Newton MessagePad ที่เป็นความคิดของนาย Sculley ล้วนๆ โดยเจ้าเครื่องนี้ขายในราคา 700$ แต่ความสามารถกลับไม่ได้มีมากกว่าการบันทึกโน้ตกับการบันทึกรายชื่อผู้ติดต่อเท่าไรครับ

5789654

นอกจากนี้ข้อผิดพลาดที่นาย Sculley ได้ก่อขึ้นและดูจะเป็นข้อผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุด ก็คือการที่นาย Sculley ทำให้ Apple ต้องเสียทั้งเวลาและเงินมหาศาลไปกับการนำ System 7 เข้าไปใช้กับ IBM/Motorola PowerPC microprocessor แทนที่จะเป็น Processor ของ Intel ที่โดดเด่นมากในตอนนั้น เพราะซอฟท์แวร์ส่วนใหญ่ที่ถูกเขียนขึ้นล้วนเขียนขึ้นมาสำหรับ Intel Processor อีกทั้งมันยังมีราคาที่ถูกลงทุกๆปีอีกด้วยครับ

Mac System 7

ถึงแม้ว่า Mac จะเป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยม แต่มันกลับมีซอฟท์แวร์ไม่มากนัก อีกทั้งยังมีราคาที่สูง แตกต่างจาก Microsoft ที่ขาย Windows 3.0 ในราคาที่ถูก จึงไม่แปลกเลยที่ Microsoft ในช่วงนั้นเป็นบริษัทที่มีอิทธิพลสูงมาก

43762874

ซึ่งนั่นก็นำมาถึงช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้นกับ Apple ครับ เพราะไตรมาสแรกของปี 1993 Apple กลับไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าที่วางไว้ เป็นเหตุให้นาย Sculley ถูกปลดออกจากตำแหน่ง CEO และให้นาย Michael Spindler ขึ้นมานั่งตำแหน่งแทน ทั้งนี้นาย Michael ทำงานอยู่กับ Apple มาตั้งแต่ปี 1980 ครับ

7540

แต่ทว่าการขึ้นมาทำงานในตำแหน่ง CEO ของนาย Michael ก็ไม่ได้ทำให้อะไรๆเปลี่ยนแปลงไปเท่าไรนักครับ นั่นก็เป็นเพราะปัญหาเก่าอย่าง PowerPC ที่นาย Sculley ทิ้งไว้ อย่างไรก็ตาม Macintosh เครื่องแรกที่ใช้ PowerPC ก็ได้ถูกปล่อยออกมาในปี 1994 แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้บริษัทกลับมาดีขึ้นได้เท่าไรนัก เพราะแน่นอนว่า Microsoft ในตอนนั้นฉุดไม่อยู่แล้ว และหลังจากนั้นทาง Apple ก็ได้เข้าเจรจากับบริษัท IBM, SunMicroSystem และ Philips เพื่อที่จะทำการเข้าซื้อบริษัท แต่กลับไม่มีการตอบตกลงจากบริษัทเหล่านั้น ทางบอร์ดผู้บริหารของ Apple จึงตัดสินใจเปลี่ยนให้นาย Gil Amelio เข้ามาแทนที่นาย Michael ในปี 1996

54353

หลังจากที่นาย Amelio ขึ้นดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ปัญหาก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากที่นาย Michael ต้องเจอเท่าไรครับ ช่วงนั้นมูลค่าหุ้นของบริษัท Apple เรียกได้ว่าตกต่ำติดต่อกันมาถึง 12 ปี (ส่วนใหญ่เกิดจากที่นาย Steve Jobs เทขายหุ้นทั้งหมด 1.5 ล้านหุ้นในการทำธุรกรรมเพียงครั้งเดียว) แต่แล้วนาย Amelio ได้ตัดสินใจที่จะไปนำ Jobs กลับมาที่ Apple อีกครั้ง ด้วยการเข้าซื้อ NeXT ในราคา 429 ล้านเหรียญ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1997 ครับ

9857

ในวันที่ 4 กรกฎาคมของปีเดียวกันนั้น Jobs ได้เสนอให้บอร์ดผู้บริหารของ Apple แต่งตั้งเขาให้เป็น CEO ชั่วคราว แต่หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ให้หลังนาย Amelio ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งครับ

7895

ภายใต้การนำบริษัทของ Jobs ในช่วงปี 1997 ครั้งนี้เหมือนว่า Apple จะไม่ได้มองว่า Microsoft เป็นคู่แข่งแล้วครับ ตอนนั้น Apple ขาลงจนถึงขั้นเกือบล้มละลาย ทำให้ทั้ง 2 บริษัทมีข้อตกลงร่วมกัน โดย Microsoft สัญญาว่าจะลง Office ให้ Mac เป็นเวลา 5 ปี ในขณะที่ Mac สัญญาว่าจะติดตั้ง IE บนเครื่องเป็นดีฟอลต์เว็บบราวเซอร์ อีกทั้ง Microsoft ยังได้ลงทุนใน Apple อีกราว 150 ล้านเหรียญ (แถมลงทุนแบบจะไม่เข้าไปก้าวก่ายการออกเสียงใดๆ ภายใน Apple อีกด้วย) เรียกว่าได้กันทั้งคู่ครับงานนี้

675022

ณ ตอนนั้น Jony Ive ก็ได้เข้ามาร่วมงานกับ Apple ซึ่งถือเป็นหัวหอกการออกแบบดีไซน์ของ iMac All-in-one PC ที่ปล่อยออกมาในปี 1998 หลังจากนั้นในปี 2001 บริษัทก็ได้มุ่งเข้าสู่ Mac OS X ระบบปฏิบัติการที่สร้างโดยใช้ระบบปฏิบัติการใน NeXT เป็นพื้นฐานครับ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นการนำเอา System 7 ระบบปฏิบัติการตัวเก่าออกไปอย่างสมบูรณ์ และในปี 2006 Apple ก็ได้เปลี่ยนมาใช้ Intel Processor ในที่สุด จากที่ก่อนหน้านี้ไปเสียเวลากับ PowerPC อยู่นานครับ

แต่สุดท้ายแล้วชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Apple ก็คือการมาของ iPhone ที่เกิดขึ้นในปี 2007 ครับ เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ชีวิตของใครหลายๆคนเปลี่ยนไป และนั่นก็เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำมากครับ

but-the-single-biggest-victory-for-apple--and-arguably-the-world-of-technology-as-a-whole--was-2007s-introduction-of-the-iphonethe-rest-is-as-they-say-history

 

 

 

ที่มา : businessinsider

แชร์
Avatar photo

คอมลัมนิสต์แอ๊คหลุมผู้หลงใหล IT และ Gadget พร้อมสาระความรู้ How To ดีๆ สำหรับการใช้งานมือถือและแท๊ปเบล็ตที่พร้อมจะมาแชร์กับเพื่อนๆ ที่สนใจในเนื้อหาเดียวกัน เพื่อให้พื้นที่ AppDisqus.com เป็นสเปซสำหรับการแบ่งบันโดยแท้จริง

Advertisement
Exit mobile version