Advertisement

ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอสมควรเลยครับสำหรับ iPhone เพราะตั้งแต่มีการเปิดตัวรุ่นแรกออกมาจนถึงวันนี้นั้น เรียกได้ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วราว 7 ปีด้วยกัน ซึ่งตั้งแต่ยุคแรกๆที่มีการเปิดตัวออกมาจนถึงวันนี้ก็นับว่าพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆอย่างไม่ได้หยุดยั้ง และนอกจากคุณสมบัติต่างๆของตัวเครื่องที่มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆแล้ว ยังมีเรื่องของศิลปะการดีไซน์ที่ปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆเช่นกัน ซึ่งนั่นก็สะท้อนให้เห็นว่าในแต่ละปีนั้นศิลปะของโลกเรามีการเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างด้วยล่ะครับ

สำหรับวันนี้ทาง Appdisqus อยากจะนำเอาเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่สิ่งนี้ มาให้ผู้ใช้อย่างเราๆได้ดูกันว่า iPhone กว่าจะมาถึงวันนี้หน้าตาเคยเป็นอย่างไรกันบ้าง เพราะทางเราเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ๆที่เริ่มเข้ามาเป็นผู้ใช้งาน iOS แน่นอนว่าจะไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้อุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้มาก่อนอย่างแน่นอน เราลองไปดูภาพวิวัฒนาการความเป็นมาของประวัติศาสตร์ iPhone ด้านล่างนี้กันเลยดีกว่าครับ

Advertisement

 

1

หน้าจอ Home Screen ที่เปลี่ยนและพัฒนาขึ้นมาในแต่ละเวอร์ชั่นของ iOS

จากที่เราเห็นนั้นนอกจากดีไซน์ของไอคอนแอพแล้ว ส่วนใหญ่จะยังคงลักษณะการจัดเรียงไว้เหมือนเดิม ซึ่งอาจจะมีการเพิ่มแอพพื้นฐานขึ้นมาบ้างใน iOS ที่ใหม่ขึ้น เพื่อรองรับความต้องการต่างๆของผู้ใช้ครับ

2 3 4

 

ดีไซน์ของไอคอนต่างๆที่เปลี่ยนไปในแต่ละ iOS

สำหรับการออกแบบไอคอนของ iPhone ในรุ่นแรกๆนั้นจะเป็นการออกแบบที่เรียกว่า Skeuomorphism ซึ่งการออกแบบชนิดนี้จะเน้นไปที่ความสมจริง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นรูปปไอคอนแล้วเกิดความคุ้นเคยเหมือนกับอุปกรณ์ต่างๆในชีวิตประจำวัน ถึงแม้จะไม่เคยใช้ iPhone มาก่อนก็พอที่จะสามารถจับต้นชนปลายได้ถูกง่ายๆ ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีการปล่อย iOS 7 ออกมา โดยมีการเปลี่ยนรูปแบบการออกแบบมาเป็น Flat Design ซึ่งก็มีเสียงวิพากย์วิจารณ์ออกมาอย่างมากเช่นกันสำหรับการดีไซน์แบบนี้ เพราะกลุ่มผู้ใช้หลายๆคนยังคงคุ้นชินกับการออกแบบในรูปแบบเก่า แต่อย่างไรก็ตาม Flat Design ก็ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากสำหรับการออกแบบในปัจจุบัน จะเห็นได้จากสี และลักษณะที่ค่อนข้างจะเรียบง่ายไม่เน้นรายละเอียดความสวยงามหรือสมจริงมากนัก แต่จะเน้นไปที่ความเด่นของตัวเนื้อหาแทน หากยกตัวอย่างปุ่มโทรออกจะเห็นเลยว่า มีแค่สีเขียวสีขาวมาตั้งแต่แรกแต่ในรูปแบบ Flat Design ที่ทำออกมาจะดูสะอาดตากว่ารุ่นก่อนๆแต่ก็สื่อความหมายได้แบบเดียวกันไม่ได้เปลี่ยนไป ซึ่งนอกจากที่การออกแบบโดยใช้ Flat Design จะค่อนข้างง่ายต่อนักออกแบบแล้ว มันยังทำให้การแสดงผลต่างๆทำได้ไวขึ้นด้วยเนื่องจากการออกแบบไม่ได้มีความซับซ้อนเท่าไรนั่นเองครับ (เว็บไซต์หลายๆเว็บไซต์ก็หันมาใช้ Flat Design มากขึ้นในปัจจุบันเช่นกัน)

 

5 6 7

เอกลักษณ์และฟีเจอร์ต่างๆในแต่ละเวอร์ชั่น

อย่างที่ได้เรียนไว้ในข้างต้นว่าแต่ละเวอร์ชั่นของ iOS ที่ได้มีการพัฒนาปล่อยออกมาให้ผู้ใช้อย่างเราๆได้ใช้กันนั้นก็จะมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งในแต่ละเวอร์ชั่นนั้นก็จะมีรายละเอียดต่างๆกันไปตามด้านล่างนี้เลยครับ

iOS 1

ถือเป็นระบบปฏิบัตการที่ทาง Apple ปล่อยออกมาตัวแรกซึ่งหน้าตาก็เป็นอย่างในภาพเลยครับ ปล่อยออกมาในวันที่ 29/06/2007 ซึ่งในตอนนั้นชื่อเรียกของระบบปฏิบัติการนี้คือ “iPhone OS” ยังไม่ได้เป็น iOS เหมือนปัจจุบันนี้ครับ ซึ่งผู้ที่เปิดตัว iOS นี้ก็คือศาสดาแห่ง Apple อย่าง Steve Jobs นั่นเองครับ และนอกจากนี้ยังไม่เปิดรับแอพใหม่ๆด้วยเพราะยังไม่มี App Store เลยนะครับใน iOS ตำนานตัวนี้

 

 

 

 

 

8

iOS 2

ระบบปฏิบัติการตัวนี้จะเป็นตัวแรกที่เริ่มมีการรองรับแอพ 3rd party เห็นได้ว่าเริ่มมี App Store โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอแล้วล่ะครับ โดย iOS 2 นั้นได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 11/07/2008 และมีฟีเจอร์ใหม่ๆเข้ามาคือ GPS, App Store, รองรับการทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์จาก Microsoft อย่าง Email และปฏิทิน นอกจากนี้เครื่องคิดเลขในเวอร์ชั่นนี้ได้รับการอัพเกรดให้มีประสิทธิภาพที่มากกว่าการบวก ลบ คูณ หาร แบบธรรมดาแล้วครับ

9

iOS 3

สำหรับ iOS 3 จะเริ่มมีการเข้ามาของการอัดวิดีโอ รวมถึงส่งข้อความแบบ MMS ได้แล้ว และที่ดูจะเป็นเสียงฮือฮาในช่วงนั้นไม่น้อยเลยคือ ระบบการสั่งการด้วยเสียงที่เริ่มมีการพัฒนาออกมาครั้งแรก อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ได้ทำงานได้หลายอย่างเหมือนกับ Siri ในปัจจุบัน แต่นั่นถือเป็นบรรพบุรุษของสาว Siri ของเราครับ นอกจากนี้ฟีเจอร์อื่นๆที่น่าสนใจก็จะมีการแจ้งเตือนของแอพต่างๆที่เริ่มพัฒนาขึ้นมา พร้อมกับการมาของ iPad 1 ครับผม

10

iOS 4

เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 21/06/2010 โดย iOS นี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตชิพ A4 ออกมาใช้จากทาง Apple เองครับ ซึ่งก่อนหน้านี้จะใช้เป็นชิพจาก Samsung นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มระบบโฟลเดอร์เพื่อเก็บรวบรวมแอพต่างๆ ที่มีมากขึ้นหลังจากที่เหล่านักพัฒนาให้ความสนใจผลิตแอพต่างๆเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากนั่นเอง ซึ่งนอกจากนี้ iOS 4 ยังเริ่มให้ความสนใจของคุณภาพกล้องเพิ่มขึ้นอีกด้วยอย่างการจับโฟกัสแบบ HD และยังมาพร้อมกับการโทรคุยกันแบบเห็นหน้าอย่าง FaceTime

 

11

iOS 5

ในที่สุดสาวน้อย Siri ของเราก็ได้รับการกลับมาพัฒนาต่อแล้วโดยครั้งนี้เป็นการเปิดตัวด้วยชื่อ Siri ครั้งแรกสำหรับผู้ช่วยส่วนตัวที่รับการสั่งการด้วยเสียง มาพร้อมกับชิพ A5 ขนาด 1 GHz และการสำรองข้อมูลบน iCloud ที่ทางผู้ใช้จะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ออกมาได้ใหม่หากเกิดปัญหาขึ้นกับเครื่อง แต่ดูเหมือนว่า iOS 5 นั้นจะมีการโหมกระหน่ำต่อว่าว่าแบตเตอรี่หมดไวมาก อย่างไรก็ตามจึงมีการปล่อย iOS 5.0.1 เพื่อแก้ไขตรงจุดนี้ออกมาอย่างเร่งด่วนครับ

12

iOS 6

เปิดตัวพร้อมกับชิพ A6 1.3 GHz เมื่อวันที่ 19/09/2012 ซึ่งแน่นอนว่ามีการปรับเปลี่ยนอีกหลายอย่าง อย่างแรกที่น่าสนใจคือการนำ Google Map ออกไปแล้วแทนที่ด้วย Apple Maps รองรับการถ่ายภาพแบบ Panorama, รองรับการ FaceTime ผ่าน 3G/LTE ที่ทำให้ผูใช้สะดวกสบายมากขึ้น แต่เหมือนว่าช่วงนั้นการใช้งานในประเทศไทยเราก็ยังไม่สามารถทำได้ดีเท่าที่ควรนัก (จริงๆตอนนี้ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร อิอิ) และเริ่มเพิ่มแอพใหม่ๆอย่าง Passbook รวมถึงการแชร์ภาพไปในอุปกรณ์อื่นๆของ Apple ครับ

13

iOS 7

ใกล้เข้ามาจะถึงปัจจุบันกันอยู่แล้วกับ iOS 7 มาพร้อมกับชิพ A7 1.3 GHz เปิดตัวเมื่อวันที่ 10/10/2013 โดยมีการเพิ่มฟีเจอร์เด็ดๆอย่าง Touch ID สแกนลายนิ้วมือ อัพเดทความสามารถของกล้องถ่ายรูปเพิ่มเติม เพิ่มฟีเจอร์ AirDrop สำหรับแชร์ข้อมูลผ่านอุปกรณ์ Apple และเป็นการเปลี่ยนรูปโฉมการออกแบบมาเป็นแบบ Flat Design เต็มตัวครั้งแรก และนอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ทางนาย Tim Cook ออกมากล่าวขอโทษในเรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้นใน Apple Maps ผ่านทางหน้าโฮมเพจของเว็บไซต์ Apple อีกด้วย

14

 

iOS 8

ในที่สุดเราก็ได้เดินทางข้ามเวลากลับมาจนถึงโลกปัจจุบันกันซักทีครับกับ iOS 8 ระบบปฏิบัติการที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 9/09/2014 มาพร้อมกับชิพ A8 Dual-Core 2 GHz ซึ่งแน่นอนสำหรับเวอร์ชั่นนี้ก็จะมีการพัฒนาฟีเจอร์แอพต่างๆขึ้นมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Health App, Apple Pay, Wifi Calling และ iCloud Drive นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาในเรื่องของกล้องที่น่าสนใจอย่างมากโดยที่ในกล้องของ iPhone 6 จะใช้การจับภาพแบบ Pixel Focus ซึ่งจะทำให้สามารถจับภาพได้เร็วกว่าใน 5s ถึง 2 เท่านอกจากนี้ยังรองรับการอัดวิดีโอด้วยความละเอียด 30 fps และ 60 fps ด้วยครับ เกือบลืมว่ามีการเพิ่มแอพสำหรับ Apple Watch ขึ้นมาแล้วในขณะนี้เพื่อรองรับการมาของ Apple Watch นั่นเองครับผม

15 16

 

ที่มา – Lifehack

[divider]

ทัศนคติผู้เขียน

ผมเองก็เป็นสาวกคนนึงของ Apple นะครับ แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ทันได้ใช้รุ่นแรกๆ ถ้าผมจำไม่ผิดช่วงนั้นผมก็ใช้ Android เช่นกัน แต่ก็มีโอากาสได้ทดลองใช้อยู่บ้าง ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความชอบในตัว iOS ครับ จากนั้นก็ใช้ iOS ต่อมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้คิดอะไร จนได้มาเห็นข้อมูลเหล่านี้แล้วรู้สึกว่า เหมือนเรากำลังอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ที่กำลังค่อยๆจารึกลงไปใหม่เรื่อยๆเลยล่ะครับ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่ดำเนินมาถึง 7 ปีแล้ว ถึงแม้เราอาจต้องสูญเสียศาสดาอย่างนาย Steve Jobs แต่เหมือนว่าผลงานของเค้าจะยังอยู่ในใจเราเสมอครับ แด่ Steve Jobs ^^

ะส่วนในเรื่องของดีไซน์แบบ Flat นั้น ส่วนตัวผมไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ ผมกลับรู้สึกชอบมมันมากๆซะด้วยซ้ำ นอกจากจะทำให้เครื่องเราทำงานเร็วขึ้นแล้ว มันยังดูง่ายๆเรียบๆเหมาะกับทุกโอกาสอย่างบอกไม่ถูกเลยครับผม

แชร์
Avatar photo

คอมลัมนิสต์แอ๊คหลุมผู้หลงใหล IT และ Gadget พร้อมสาระความรู้ How To ดีๆ สำหรับการใช้งานมือถือและแท๊ปเบล็ตที่พร้อมจะมาแชร์กับเพื่อนๆ ที่สนใจในเนื้อหาเดียวกัน เพื่อให้พื้นที่ AppDisqus.com เป็นสเปซสำหรับการแบ่งบันโดยแท้จริง

Advertisement
Exit mobile version